7. ผลของคำอธิฐานที่ตั้งบนความเปลี่ยนแปลง
     
การเวียนทำกรรมฐานอย่างเอาเป็นเอาตายจนมีประสบการณ์มากมายเหตุการต่างๆ เริ่มคลาย คำอธิฐานตอนเรียนอยู่ปี 3 พร้อมทั้งถือศีล 8 เริ่มให้ผลทั้งที่ลืมไปแล้วเพราะมัวแต่ทำวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อละกิเลสอย่างเดียว คำอธิฐานเริ่มให้ผลดังนี้ข้าพเจ้าทำวิปัสสนากรรมฐานมานถึง 4-5 ปี เสี่ยงชีวิตเพื่อปฏิบัติหลายครั้งสมาธิต่างๆ วิปัสสนาญาณต่างๆ ก็สัมผัสมามาก วนเวียนอยู่อย่างนั้น บวกกับการทรมานทางร่างกาย และศีลของตนเองก็ยังด่างพล้อยอยู่ จึงตั้งใจทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยความเพียรอย่างติดต่อกัน ถ้ายังละกิเลสไม่ได้ หรือยังมีความทุกข์อยู่ในจิต จะไม่ย่อมผ่อนความเพียรลงมา พอถึงวันที่ 5 หรือ 6 ขณะที่ทำกรรมฐานจนหลับไปลงภวังค์พักใหญ่ ก็เปลี่ยนมาเป็นความฝันว่า "ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นพระอยู่ ได้มีโต๊ะและพระรูปอื่นๆ นั่งรอบโต๊ะบนโต๊ะมีแก้วน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว แล้วพระต่างๆ ได้พูดทำนองว่า ถ้าผู้ใดได้ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วศีลก็จะบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าก็จึงหยิบแก้วน้ำนั้นมาดื่มพอดื่มหมดแก้ว พระต่างๆ ก็หัวเราะกันใหญ่ ว่าข้าพเจ้าได้ดื่มเหล้าไปแล้ว ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างยิ่งจึ่งวิ่งเข้ากุฏิตนเอง บิดห้องมืด  กดอารมณ์ตนเองจนนิ่งลึกลงไปๆ จนกลายเป็นสมาธิที่ลึก เพี่ยงจุดเดียวเฉยนิ่งอยู่อย่างนั้น จากจุดสมาธินิ่งลึกๆ จิตเกิดไหวตัวพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนออกมาจากสมาธิลึกๆ ว่า "ข้าอยากเป็นพระพุทธเจ้า" อย่างสุดกำลัง ขึ้นจากก้นบึงของจิต แล้วจิตรวมตัวเป็นจุดแสงสว่างเท่าดาวประกายพรึกที่เคยได้มา จากนั้นจุดแสงสว่างเริ่มแขวงหมุนเป็นเลข 8 คล้ายเครื่องหมาย อินฟินีตี่ ในสัญญาลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ แขว่งแบบห่างๆ แล้วเคลื่อนที่เร็วขึ้น กระชับขึ้นๆ หลายๆ 10 รอบ จนแน่นแล้วจึงระเบิดเสียงดังสนั่น ออกมาพร้อมกับรู้สึกตัวทันที่"
       
ข้าพเจ้าไม่เคยเลยที่ตั้งความปรารถนา ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างตั้งใจตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทบทวนตัวเองใหม่ แล้วเริ่มคลายวิปัสสนากรรมฐานลงมาเพียง แต่ทรงอารมณ์ไว้ กิเลสในการยึดมั่นในพุทธภูมิมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เชื่อใจตัวเอง พยายามปรามห้ามตัวเองบ่อยๆ เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน แต่ความปรารถนานั้นมากจนชนะในจิตใจข้าพเจ้าๆ จึงต้องไปอธิฐานว่า "จะสร้างบารมีให้สมบูรณ์มากที่สุดเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า" ต่อหน้าพระธาตุเจดีย์ หลังจากนั้นใช้เวลานานหลายเดือนจึงคลายอารมณ์เป็นปกติ และสิ่งที่ไม่ใช่คน(อาจจะเป็นเทวดาหรืออะไร ไม่ทราบ) มาสัมผัสกับ บุคคลรอบข้าง และยืนยันว่าข้าพเจ้าปรารถนาอย่างนั้นมาจริง ความทุกข์ในวิปัสสนาญาณ ก็น้อยลงเรียกได้ว่าสบายขึ้น เพราะข้าพเจ้าผ่อนการปฏิบัติลง หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ขอร้องให้อาจารย์ ดูชาติของข้าพเจ้าในอดีตว่าเคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธ์เจ้าองค์ก่อนแล้วหรือยังอาจารย์ได้ปฏิเสธ และให้ไปดูเอง
    - 1. เริ่มทดสอบตัวเองโดยเข้าสมาธิภาวนาถามตนเองว่า "ไดรับการพยากรณ์จากพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แล้วหรือยัง" จนบังเกิดเป็นนิมิต รูปมือกาง 5 นิ้วแล้วกำมือตรงหน้า" ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถตีความหมายได้ แต่รู้ว่าเสมือนกรรมกำหนดไว้แล้ว
    -  2. ทำการทดสอบตนเองอีกครั้งโดยการเข้าสมาธิภาวนาถามตนเองว่า "ได้รับพยากรณ์แล้วหรือไม่?" จนบังเกิดเป็นนิมิต ในที่มืดแล้วมีประตูเปิดออกเป็นทางสว่าง ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถตีความหมายได้ แต่รู้ว่าเสมือนทางเปิดให้แล้ว
    -  3. ด้วยความที่เรียนจบมาทางวิทยาศาสตร์ นิสัยของการพิสูจน์เพื่อให้ถึงที่สุดจึงมีอยู่มาก วันต่อมาได้ทดลองกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อ และไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่ร่วมทำกรรมฐานกันมา ทดลองให้สื่อกับเทพเทวดาที่มายืนยัน ทั้งที่เพื่อนคนนี้ไม่เคยรู้และไม่เคยทำมาก่อน โดยให้เขานอนราบลงไม่ต้องพูดอะไร ทำใจให้สงบนิ่งอย่างเดียว  แล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนที่เคยลองทำมาแล้วโดยบังเอิญ(ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน แต่เมื่อลองทำดูเกิดปฏิกิริยา ผิดจากธรรมดาทั่วไป) ทำการไหว้พระและพูดธรรมดา อันเชิญเทพเทวดาให้ท่านได้มายืนยัน โดยกำหนดกติกาขึ้นมาเองว่าเมื่อข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนถาม ถ้าเป็นความจริงให้ผงกศรีษะ  ถ้าไม่จริงให้ส่ายศรีษะ เมื่อสิ้นสุดการทดลองและได้สนทนากับเพื่อนคนใหม่ที่สื่อสัมผัส เขาบอกว่ามันผงกศรีษะและส่ายหน้าเองในแต่ละคำถาม โดยที่เขาไม่ได้สั่งและไม่ได้คิด เพียงแต่มีสติทำใจให้เป็นกลางนิ่งอย่างเดียว  แต่เมื่อถึงตอนที่ถามว่า ข้าพเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหม? เขาก็ลองพยายามแกรงและผืนคอตัวเองไม่ให้ผงกศรีษะ(ตามประสาเพื่อนที่ไม่คอยเชื่อและลองกันเล่น) แต่เหมือนโดนบังคับให้ผงกจนได้  พอถึงคำถามที่ว่า  ข้าพเจ้าได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาแล้วใช่ไหมเพื่อนบอกว่าครั้งนี้พยายามเกร็งเต็มที่ไม่ให้ส่ายหรือผงกศรีษะเป็นอันขาด ผืนจนคอนี้เมื่อยไปหมด แต่ในที่สุดต้องผงกศรีษะจนได้ต้านไว้ไม่อยู่  ส่วนในคำถามอื่นๆ เขาปล่อยให้เป็นไปเอง เพราะเป็นคำถามธรรมดา ทำให้เพื่อนคนนี้แปลกใจไม่ใช่เล่น (หลังจากนี้ไป เป็นเวลา 1 ปี สามารถฝึกการสื่อสัมผัสโดยการพูดคุยกันได้ตามปกติ ไม่ต้องให้นอนแล้วส่ายหรือผงกศรีษะอีกต่อไป)
       
ข้าพเจ้าขอร้องอาจารย์อยู่เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน และเพื่อนของข้าพเจ้า (ที่ศรัทธาอาจารย์จริงตั้งแต่เริ่มเข้าทำกรรมฐาน) ได้พูดสนับสนุนให้อาจารย์ฟังว่า "ดูให้เขาเถอะ ได้หรือไม่ได้คอยว่ากันอีกที ไม่ได้เสียหายอะไร" อาจารย์ก็ตอบตกลงและพูดว่า "ที่อาจารย์ดูให้ เธออย่าปักใจเชื่อ เพราะการพยากรณ์ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วจะเป็นจริง 100%  ที่อาจารย์ดูให้จะได้หรือไม่ได้เธออย่าเสียใจถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออกว่าตัวเองเคยอธิฐานเมื่อ 5-6 ปี ทั้งที่ลืมไปแล้ว ตอนเรียนมาหาวิทยาลัยปีที 2 และ 3 จึงได้บอกกับอาจารย์ว่าข้าพเจ้าได้เคยอธิฐานว่า "ไม่ทราบว่าสร้างบารมีอะไรมา ถ้าสร้างมาเกิน 2 ใน 3 ก็จะสร้างต่อ ถ้าน้อยกว่าก็ขอยกเลิก และขอให้ได้เจอกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ที่มีอภิญญาช่วยบอกให้ทราบด้วย" เป็นเวลาประมาณ 1 ปี และถือศีล 8 อยู่ทั้งปี ก่อนที่จะเข้าทำวิปัสสนากรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ  อาจารย์พูดว่า "ต้องมีอภิญญาหรือ?" ข้าพเจ้าพูดเสริมว่า "สามารถระลึกชาติของผู้อื่นได้ก็พอ" อาจารย์จึงบอกให้ข้าพเจ้านั่งสมาธิ ส่วนข้าพเจ้าคิดว่าอาจารย์ดูไม่น่าเกี่ยวกับข้าพเจ้าจึงนั่งหลับตา คิดถึงการเตรียมตัวติวให้นักศึกษาไปเรื่อยๆ  สักประเดี๋ยวเดี่ยวข้าพเจ้าได้ยินอาจารย์พูดว่า "เซียม ! เธอทำใจให้สงบหน่อย อาจารย์ดูไม่เห็น" ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นและแปลกใจว่าอาจารย์รู้ว่าข้าพเจ้าใจไม่สงบจริง แล้วอาจารย์ได้อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเธอทำใจไม่สงบอาจารย์ดูเธอไม่เห็นมันมัวๆ เพราะอาจารย์ต้องดูผ่านเธอ และก็อย่าภาวนาอะไรเพราะถ้าภาวนาอาจารย์ก็จะเห็นแสงสว่างอย่างเดียว"
      
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ตั้งใจนั่งอย่างดี (แต่สักพักหนึ่งบังเกิดคล้ายนิมิตขึ้นมาเองไม่ชัดเจนนัก เหมือนมีผู้ที่เป็นอมตะผู้หนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไปได้ชี้เป็นลำแสงตรงมาที่หน้าผากของข้าพเจ้า ทำนองว่าข้าพเจ้าจะเป็นอมตะเหมือนกับเขา คล้ายนิยายการ์ตูนที่ได้อ่านผ่านสายตามา จึงไม่กล้าที่จะบอกกับใครในเวลานั้นแม้แต่อาจารย์หรือเพื่อน) อาจารย์ก็นั่งสมาธิดูเป็นเวลาพักใหญ่ประมาณ 10 นาทีกว่าหรือมากกว่านั้น แล้วอาจารย์ออกจากสมาธิพูดว่า "อือ! น่าปีติๆ" ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นดูอาจารย์ ขณะนั้นอาจารย์กำลังลูบและชี้ที่แขนของอาจารย์ แล้วพูดต่อไปว่า "ดูสิ ขนของอาจารย์ลุก คนสมัยก่อนตัวโตมากจริงๆ เธอนะได้รับพยากรณ์แน่นอนแล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามอาจารย์ว่า "อาจารย์ไปเห็นอะไร? พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือเปล่า?" อาจารย์อธิบายว่า "อาจารย์ได้ดูให้เธอย้อนจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ก่อน   ซึ่งคนสมัยก่อนตัวใหญ่โตมากเห็นเธอกับแฟนของเธอเป็นฆารวาส กำลังทำบุญกับพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้ฟัง หลังจากนั้นก็จะเดินกลับ ได้ชี้ไปที่เธอ และกล่าวในทำนองที่ว่าเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนในอนาคต แล้วเดินจากไป" ข้าพเจ้าถามอาจารย์ว่า "อาจารย์เห็นชัดเจนไหม?" อาจารย์ตอบว่า "เห็นเหมือนกับตาเห็น ชัดเจนเหมือนดูทีวีสี"
       
การที่อาจารย์ดูให้อย่างนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีปีติมาก และมีความยึดมั่นเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ก็มีความสงสัยลังเลตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ หลายวันผ่านมาทำให้ข้าพเจ้าสงสัยว่าอีกเมื่อใหร่ตนจึงจะถึงจุดที่มุ่งหวัง  ด้วยความยากทราบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ขอร้องอาจารย์ว่าให้ช่วยดูให้ด้วย ส่วนอาจารย์ก็บอกว่าขอให้อาจารย์พร้อมกว่านี้หน่อย  เวลาผ่านไปเกือบเดือน และมีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ได้เดินทางไปทางเชียงใหม่เพียงท่านเดียว ทิ้งการสอนกรรมฐานไว้ข้างหลัง โดยไม่บอกชวนผู้ใดเป็นเวลา 7 วัน แม้ข้าพเจ้าเองได้ทราบตอนที่อาจารย์กลับมาแล้ว เพื่อนข้าพเจ้าที่ทำกรรมฐานอยู่บอกข้าพเจ้าว่าอาจารย์กลับมาหน้าตาท่านบวม เพราะอยู่ในอากาศหนาวหลายวัน หลังจากนั้นอาจารย์บอกข้าพเจ้าว่าท่านไปฝึกสมาธิในถ้ำทางเชียงใหม่มา  และอาจารย์ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "เดียวนี้สมาธิอาจารย์ใสจริงๆข้าพเจ้าจึงเข้าใจทันทีว่าที่อาจารย์ไปเชียงใหม่เพราะสาเหตุมาจากข้าพเจ้า
       
ถ้ามองถึงฐานะของข้าพเจ้าในช่วงนั้นจนเอามากๆ และไม่เคยให้ทรัพย์สินเงินทองแก่อาจารย์ คืออาจารย์ไม่เคยได้อะไรจากข้าพเจ้าเลย  นอกจากข้าพเจ้าปฏิบัตกรรมฐานกับท่ามมาเป็นเวลา หลายปีบวกกับความศรัทธาในช่วงหลังและความจริงใจของข้าพเจ้า หลังจากนั้นอาจารย์ก็บอกกับข้าพเจ้า ว่าอาจารย์พร้อมที่จะดูให้ ครั้งนี้ข้าพเจ้าถามว่า "จะให้ผมนั่งสมาธิไหม?" อาจารย์ตอบว่า "ไม่ต้อง" หลังจากนั้นอาจารย์เข้าสมาธิดูเป็นเวลานานพอใช้ แล้วก็ออกจากสมาธิ กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "เซียม! เธออีกนานมากนะ" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "แล้วอาจารย์ได้เห็นตอนที่ผมได้บรรลุไหม?" อาจารย์ตอบ "อาจารย์ดูไปไม่ถึงแต่เธอแน่นอนแล้วไม่ต้องสงสัย" ข้าพเจ้าจึงพูดทำนองว่ามีบุคคลร่วมยุคกับข้าพเจ้าที่จะ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า อาจารย์กล่าวว่า ".6 ท่านแน่นอนแล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "ท่านได้รับพยากรณ์แล้วหรือ?" อาจารย์ตอบว่า "ได้รับพยากรณ์แล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า "ท่านบรรลุก่อนผมใช่ไหมครับ?" อาจารย์ตอบ "ใช่ แต่เธออีกนานมากนะ" หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่าไม่เคยมีข่าวว่า .6 ท่านปารถนาพุทธภูมิ ทำให้ข้าพเจ้าต้องทำการค้นคว้าเรื่องของ ร.6 ว่ามีสักครั้งไหมที่ .6 ท่านเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ที่แสดงว่าท่านปารถนาพุทธภูมิ ตามหอสมุดต่างๆ จนได้ทราบว่า ร.6 ท่านเคยได้ทำศิลาจารึกทำนอง ที่ว่าท่านได้ปรารถนาพุทธภูมิ ประเภทศรัทธาพุทธเจ้าไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง อ่านเจอจากหนังสือเรื่องบารมี ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด
       
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ยังทำกรรมฐานต่อเรื่อยๆ ยามบังเกิดสมาธิ ข้าพเจ้าก็ถามอาจารย์และโมเมว่าอาจจะเป็นมรรคผลนิพพาน จนอาจารย์ตอบให้ฟังว่า "ถ้าอารมณ์ที่ส่งมาให้อาจารย์ฟังเป็นอารมณ์ผลนิพพานของจริงอาจารย์ต้องตอบว่าจริง แต่เมื่อไม่จริงจะให้อาจารย์บอกว่าจริงได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเธอบรรลุถึงนิพพาน เธอต้องเป็นพระพุทธเจ้า แต่ในสมัยหนึ่งจะมีพระพุทธเจ้า 2 องค์พร้อมกันไม่ได้ เธออย่าสงสัยอะไรอีกเลย" อาจารย์พูดย่ำเรื่องการอย่าสังสัยของข้าพเจ้าหลายครั้งเหมือนจะรู้ว่าข้าพเจ้าต้องสงสัยแน่ในอนาคต มีหลายอย่างที่ข้าพเจ้าได้ความรู้จากอาจารย์และทราบจากอาจารย์ภายหลังพอค้นคว้าจริงๆ ก็เป็นไปตามที่อาจารย์กล่าว อย่างเช่นมีเรื่องหนึ่งอาจารย์ได้ถามว่า "ในฐานะที่เซียมเรียนวิทยาศาสตร์ พวกฝุ่นที่ห้องบิดอย่างมิดชิดมันเกิดลูกเกิดหลานได้ใช่ไหม? อาจารย์สังเกตมันเกิดเยอะเลย" ข้าพเจ้าก็ตอบในฐานะนักฟิสิกส์ว่า "ฝุ่นนั้นมันลองลอยในอากาศ เมื่อเข้าไปในห้องที่ลมสงบก็ตกลงบนพื้นเกาะกันหนาขึ้นอาจารย์ก็พูดว่า "เป็นอย่างนั้นหรือ?" หลังจากนั้นอีกหลายเดือนข้าพเจ้าก็ได้รับคำอธิบายเรื่องผุ่นในเชิงชีววิทยา    ว่าปกติในอากาศจะมีจุลินทรีหรือแบกเตเลียชนิดหนึ่ง ที่คอยจับกินฝุ่นในอากาศเป็นอาหาร แล้วถ่ายของเสียตกลงมาบนพื้นก็คือฝุ่น ดังนั้นคำถามของอาจารย์ก็มีเค้าความจริง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเริ่มทำให้ข้าพเจ้าหันมาอยู่ทางโลกเพิ่มขึ้น และเริ่มศึกษาประวัตต่างๆ มากมายจนได้รับความรู้ แล้วเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้นไม่ได้ยึดถืออย่างไม่มีหลักเกณฑ์
       
ในเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ความเชื่อมั่น ความยึดถือ ความเข้าใจ ที่ตั้งอยู่บนความเปลี่ยนแปลง และประสบการณ์ที่บังเกิดขึ้นมากมาย ก็ต้องทำการพิสูจน์ต่อไป เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นโรคเก้า โรครูมาทอยและมีน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่สูง ทำให้ปวดข้อมีความทุกข์ทรมานมาตลอด และตั้งแต่เรียนจบมาไม่คิดที่จะเก็บสะสมเงินทอง ไม่หวังในการแต่งงาน ชีวิตอยู่กับกรรมฐานเป็นเวลา 5 ปี  เพื่อรอการบวช แต่เมื่อมีคู่คลองด้วยการที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน  ชีวิตครอบครัวชั่งล้มลุกคลุกคลานน่าดู  แถมยังมีลูกน้อยหนึ่งคน แต่ที่ทนอยู่ได้เพราะทั้งสามีและภรรยาเป็นนักกรรมฐานทั้งคู่ พยายามอดทนทั้งที่ไม่มีเงินทองเลย มีแต่บุญเก่าที่หนุนอยู่ คือจบปริญญาตรีทั้ง 2 คน มีปัญหาอยู่ที่ว่า ภรรยาลูกอ่อนทำงานไม่ได้และเพิ่งจบมหาวิทยาลัย ฝ่ายสามีไม่มีงานทำเพราะเลิกจากการเป็นติวเตอร เนื่องจากรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัวในขณะนั้น และไม่มีฐานะที่หางานได้ง่าย ต้องกลับมาทำเห็ดขายที่บ้านเกิดของข้าพเจ้า เป็นเวลา 1 ปี นี้และหนอกรรมเมื่อส่งผลมันย่ำยีจนหนำใจ จนต้องแยกกับครอบครัว เมื่อมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพฯ ของข้าพเจ้าๆ มีเงินในกระเป๋าประมาณ 2,000 ประคองอยู่ได้ เกือบ 3 เดือนโดยพยายามไม่กินอาหารบางมื่อเพื่อให้อยู่ในกรุงเทพฯได้นานที่สุด จนบุญส่งเมื่อเพื่อนๆ ที่เรียนคณะเดียวกันจะเปิดโรงเรียนคอมพิวเตอร์ และให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ดูแลโรงเรียนฝ่ายธุระการ เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีความรู้คอมพิวเตอร์ จึงพยายามศึกษาคอมพิวเตอร์ จนสามารถสอนคอมพิวเตอร์ได้  และสามารถเขียนโปรแกรมเป็นระบบใหญ่ด้วยตระกูลดีเบสและโคบอลได้ เรียกว่าเก็บสะสมความรู้ที่ตนเองศึกษาและประสบการณ์     แล้วแปรความรู้ให้เป็นอาชีพเพื่อสร้างฐานะตนเอง
       
แต่เมื่อปี พ.2532 พระอาจารย์ปลัดธีรวัตได้มรณะภาพ ทำให้ข้าพเจ้าพยายามหาพระท่านอื่นที่มีคุณธรรมสูง เพื่อจะเป็นอุปัฏฐากตามฐานะของตน และเพื่อจะพิสูจน์สิ่งที่พระอาจารย์ได้ดูไว้ให้  เพราะนักวิทยาศาสตร์จะเชื่ออะไรง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้  จึงทำให้ข้าพเจ้าเสาะหาพระท่านที่ดังๆ แต่ก็ผิดหวัง และเนื่องจากข้าพเจ้าเห็นกิเลสตนเองบ่อย  เมื่อสิ่งแวดล้อมก่อให้เกิดทุกข์กิเลสก็ก่อให้เกิดทุกข์มากขึ้นเพราะไปเห็นมัน จึงทำให้เกิดความลังเลในสิ่งที่พระอาจารย์ได้ดูไว้ ใจของตนเองก็ยากจะละกิเลสเหล่านี้ เพราะความทุกข์ที่ รุมมาพร้อมกันทุกด้านตลอดเวลาที่ผ่านมา 1 ปีกว่า  จึงบังเกิดความคิดขึ้นมาว่า "จะจริงหรือเท็จก็จะต้องยก เอาไว้ไม่ต้องไปคำนึงหรือยึดถือ ให้ถือเอาการทำกรรมฐานเพื่อละเป็นหลักเป็นเครื่องพิสูจน์  เพราะถ้าละได้จริงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าละไม่ได้ก็มีเค้าความจริงอยู่ตั้งแต่นั้นข้าพเจ้า จึงเริ่มกำหนดกรรมฐานแต่ครั้งนี้จะกำหนด และการวางใจให้สวนทางกับที่ผ่านมา เพราะถ้ากำหนดแบบเก่า คือจะต้องภาวนาอย่างเข้มขนไม่ขาดระยะ และจับให้ได้ว่ามีการผะงักหรือดับขาดตอนของอารมณ์ ในช่วงไหนของคำภาวนา ซึ่งถ้าทำแบบนี้อารมณ์ก็เหมือนเดิม คือละกิเลสไม่ได้เพียงแต่ข่มไว้ได้ แต่ความทุกข์ที่เผาลนจิตใจก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าถ้าเพียงแต่สักแต่รู้ตามหลักที่พระพูทธเจ้า ทรงกล่าวว่า  สักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน กับสิ่งที่มากระทบ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าใช้คำภาวนาว่า "สักแต่รู้""สักแต่เห็น" "สักแต่ได้ยิน" เป็นตัวนำสติ และจะไม่ไปบังคับไม่ว่าจะง่วงนอน หรือจะเคลิ้มไปก็ไม่บังคับหรือฝืนให้มีสติ เพียงแต่ภาวนาว่า"สักแต่รู้" ถ้าภาวนาไม่ได้ก็เพียงแต่สักแต่รู้เท่าที่จะทำได้ จึงเริ่มทำกรรมฐาน วันแรกที่ทำกรรมฐานก็ยังติดอยู่กับอารมณ์เดิม  พยายามปรับลงมาเพื่อให้อ่อนตัวในการภาวนาพยามปรับอยู่ 2-3วัน จึ่งอ่อนตัวลงได้  ไม่ควบคุมแม้แต่ท่าที่นั่งกรรมฐาน ปล่อยให้เป็นธรรมชาติเพียงแต่สักแต่รู้ ให้เป็นปัจจุบันไม่ใช่พยายามให้ทันปัจจุบัน เพราะที่ผ่านมาทำไว้มากแล้ว  พอขึ้นวันที่ 3 เมื่อกำหนดกรรมฐาน ความง่วงนอนก็เกิดขึ้นแต่เพียงสักแต่รู้เท่านั้นก็หลับคู่ไปโดยที่ไม่ไปบังคับ เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3 วัน หลังจากนั้นจะไม่เผลอหลับแบบขาดสติ หลังจากนั้นตื่นอยู่ก็สักแต่รู้ว่าสติดี พอลงภวังค์จะหลับก็จะรู้ว่าสติไม่ดีเพราะเริ่มมีความมืดเข้ามาครอบครองจิต เหมือนกับผู้ที่นั่งอยู่บนรถไฟ วิ่งลอดอุโมงค์ เป็นช่วงๆ มืดสว่างๆ แต่ไม่เผลอหลับ หลังจากนั้นมืดสว่างก็จะเกิดเร็วขึ้นๆ จนมีแต่ความสว่างอย่างเดียว คือสติดีจิตมีความสว่างกำหนดกรรมฐานได้นานแต่เพียงสักแต่รู้เท่านั้น เมื่อทำมากๆ หลายวันเข้าวิปัสสนาญาณต่างๆ ก็เกิดขึ้น จิตก็เพียงแต่สักแต่รู้จริงมากขึ้นจะรู้อยู่เพียง 2 อย่างขณะที่ทำกรรมฐาน คือสักแต่รู้ร่างกาย เมื่อรู้ร่างกายน้อยลงก็สักแต่รู้อารมณ์หรือจิต เป็นไปอย่างนี้กลับไปกลับมา คือจะมีแต่รูปละนามเท่านั้นที่เห็นอยู่ เมื่อกำหนดกรรมฐานหลายวันเข้าก็เริ่มทิ้งทั้งหมด เป็นความว่างจากทุกอย่างในช่วงหนึ่ง ในขณะที่ว่างเริ่มนับไปเองจาก 1 ถึง 4 ก็ออกมารับรู้ปกติ เมื่อกำหนดกรรมฐานใหม่สักระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่ความว่างเหมือนเดิมแต่นับได้ถึง 6 ก็ออกมารับรู้ปกติ เมื่อเริ่มกำหนดใหม่ ก็เข้าสู่ความว่างอีกนับได้ถึง 8 หลังจากนั้นไม่สนใจที่จะเข้าอีก  แต่อารมณ์ที่ยึดติดกับสิ่งที่มากระทบก็เบาลง มีความสุขสงบสบายติดต่อเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เข้าใจฐานะของตนเอง และหันมาปฏิบัติตัวตามฐานะของตนเองมากขึ้น ให้เวลาลูกเมียมากขึ้น แทนที่คิดจะหนีไปบวชให้ภรรยาต้องทุกข์ และคลายความยึดถือเก่าๆ ลงมาก  เพราะอารมณ์เห็นความว่างมากขึ้น และภาวนาสักแต่รู้กับอารมณ์ที่มากระทบ หรือที่เกิดขึ้นจากภายในของอารมณ์เอง และธรรมะที่พระอาจารย์สอนครั้งหลังสุด หลังจากอาจารย์มรณะภาพไปแล้ว เป็นปริศนาธรรมในนิมิต เมื่อขณะที่ข้าพเจ้ามีความลังเลในเรื่องที่ผ่านมาดังกล่าวมาก จนฟุ้งซ่านเป็นความฝันดังนี้ ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าคิดมากในเรื่องที่ผ่านมาแล้วหลับไป    ได้ฝันว่าอาจารย์ได้เหาะมาหาใกล้ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ฝ่ายข้าพเจ้านั้นปีติยินดีเป็นอย่างมากก็กล่าวว่า ผมจะไม่สงสัยลังเลในเรื่องที่อาจารย์ดูให้ ผมเชื่อและศรัทธาอาจารย์มาก ก็บังเกิดปีติขึ้นมากมาย  แต่ท่านอาจารย์ท่านไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่เดินไปนั่งที่สูงกว่า ข้าพเจ้าก็นั่งกราบและนั่งดูพระอาจารย์สักพักหนึ่งผิวหนังและเนื้อ ของอาจารย์เริ่มหลุดออกเป็นชิ้นๆ จนเกือบหมดแล้วข้าพเจ้าก็ตื่น (ปริศนาธรรมอันนี้ไม่สามารถตีความหมายได้เลย ตั้งแต่ปี 2532 จนถึง  วันที่ 2 มิถุนายน 2537 จึงสามารถตีออกมาได้ว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวอาจารย์เลย)

   ได้หรือเสียอย่าสำคัญหมาย          ให้เพียงคลายตัวยึดมั่นนั้นเป็นพอ
ไม่ต้องรอ ถึงได้เสียไม่ต้องท้อ           ไม่เออออได้หรือเสียนั้นคือธรรม

   ผู้มีสัจจะธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่          ยังเป็นครูสอนสั่งคนทั้งหลาย
ให้ฝึกสติระงับกิเลสย่างกลาย             พิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม
เผ้าพล้ำสอนให้เข้าใจในไตรลักษณ์     ฝึกปฏิบัติเห็นทุกข์มีสตินำ
เห็นอนิจจัง อนัตตาอันเลิศล่ำ             ไม่ระกำกับตัณหาเมื่อปล่อยวาง

    ตัวตนมีอยู่ตามธรรมดา           เป็นรูปนามขันธ์ 5 ตามวิสัย
แต่อัตตาตัวตนยึดติดใจ              เป็นสิ่งจังไรหลงอวิชา
อันขันธ์ 5 บังเกิดต่อเนื่องกัน        เป็นอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา
เมื่อเข้าไปยึดติดเป็นอัตตา           จึงหลงบ้าโง่งมอยู่กับมัน

      อันยูงทองสูงศักดิ์ตามกล่าวขาน     ส่วนสันดานกาต่ำว่ากันไป
อันนิพพานนั้นไม่เป็นไปตามนัย             เพราะเป็นไปไม่เปรียบเทียบดังกล่าวเลย.

    สติรู้ทัน ที่กิเลสบังเกิด               ไม่เลยเถิดลุกลามไปใหญ่โต
สมาธิรั้ง หยุดนิ่งไม่โยกโย้              ซึ่งเป็นโล่ป้องกัน กิเลสเพิ่ม
ปัญญาเริ่มค้นหาถึงต้นตอ             มิได้รอละวางเหตุกิเลสเสริม
บังเกิดญาณวางอัตตาแต่เดิม        ตั้งแต่เริ่มถึงจุดนี้เพียงครู่เดียว
ให้เฉลียวคิดดูไม่ใช่ง่าย                 ดังเช่นร่ายเป็นตัวอักษร
ต้องปฏิบัติให้ถึงพึงสังวร               จึงจะทอนกิเลสให้ลดลง

   "เป็นเช่นนั้นเอง" มีความหมายลึกซึ่ง       ควรคำนึงภาวนาไว้ในใจ
พิจารณาให้เข้าใจทุกครั้งไป                     สติใสปล่อยวางว่างจากตน
"
เป็นเช่นนี้เอง" มีความหมายลึกซึ่ง            ใจเป็นหนึ่งเห็นกิเลสที่เข้าปน
ในจิตตนใช้ปัญญาวางให้พ้น                    จึงเป็นคนละวางว่างอัตตา

    อ่านหน้าต่อไป  108.html                 กลับไปหน้าแรก   100.html