ปารถนาเป็นพุทธเจ้า
ปรารถนาเป็นปัจเจกพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเบื้องซ้าย
ปรารถนาเป็นมหาสาวก(พระอเสติ) ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา
6 หรือมีปฏิสัมภิทา 4
สุดท้ายปรารถนาให้ถึงพระนิพพานโดยเร็ว
ชาวพุทธส่วนมากเกือบ
100 % ปรารถนาดังที่กล่าวมา
พระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ กับความยาวนานของอวิชาอันน่ากลัว
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นความยาวนานของอวิชา ที่ไม่รู้ว่าเริ่มต้นแต่เมื่อ
ใด ? หาเบื้องต้นไม่ได้
ถ้ายังมีอวิชชาต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะอีกยาวนานเท่าใดจึงจะถึงที่สุด
เพราะหาที่สุดไม่ได้ มีแต่ปัญญาเท่านั้นที่จะชำละอวิชชา ให้ยุติ ตัดขาดจากวัฏฏะสงสาร
หมายเหตุ ผมเอาเรื่องสัพเพเหระ ขึ้นมา เพื่อทำให้การเสวนาธรรมมีสีสรร แตกต่างไปบ้าง
โดยการวิเคราะห์ประมาณเอา
ไม่มีเจตนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
และไม่เจตนาที่ทำให้ผู้ปรารถนาอยู่แล้วคลายความปรารถนา เพียงแต่ตีแผ่ให้เห็นเท่านั้น
พระโพธิสัตว์
คือบุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภท
1.พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย
เรียกว่า
อนิยตะโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
2.พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว
เรียกว่า นิยตะโพธิสัตว์
ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยียมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้
แม้จะทุกข์ท้อแท้
จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย
ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
พระพุทธเจ้า คือผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพุทธศาสนา
แบ่งพระพุทธเจ้าออกเป็น 3
ประเภท
1.ปัญญาพุทธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ
ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
คือปารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7
อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย
และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้งแรก เหลืออีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า
จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด
40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
คือปารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14
อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย
และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า
จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด
80
อสงไขยกับเศษแสนมหากับล์ คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา
36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย
และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย
และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
วิเคราะห์ผลบุญและบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่มีผลในพุทธภูมิของท่านเองเมื่อท่านตรัสรู้
การวิเคราะห์ต้องแยกเรื่องบารมี กับผลบุญออกจากกัน
เพื่อทำให้เข้าใจง่ายขึ้น
บารมีนั้นสามารถอธิบายได้ว่า
มีผลต่อการเป็นพระพุทธภูมิของท่านตั้งแต่เริ่มปรารถนาแล้ว
ถึงแม้พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนเกิดล้มเลิกความตั้งใจ ปรารถนาเป็นพระสาวกบารมีก็ยังส่งผลให้ท่านมีคุณสมบัติบางประการที่อำนวยประโยชน์ต่อผู้อื่นอยู่
โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่คุณประโยชน์ต่อสรรพสัตว์อันยิ่งใหญ่หาได้เกิดขึ้นในอนาคต
ผลของบุญของพระโพธิสัตว์สามารถอธิบายแยกเป็นข้อๆ
ได้ดังนี้
1. ผลบุญขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาอยู่ในใจ
(ไม่ได้กล่าววาจาปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า แต่อาจกล่าวกับบุคคลทั่วไป)
ซึ่งบุญบารมียังอ่อนอยู่มากและยังห่างไกลมาก จึงไม่สามารถส่งไปถึงสมัยที่ท่านตรัสรู้
เพราะผลบุญนั้นจะส่งผลในระหว่างทางหมดเสียก่อน
2. ผลบุญขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่กล่าววาจาปรารถนา
ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า(บารมีที่ปรารถนาอยู่ในใจ สมบูรณ์แล้วจึงจะสามารถกล่าววาจาออกมาต่อพระพักตร์ของพระพุทธองค์ได้)
ซึ่งเป็นบุญบารมีอย่างกลาง
และยังไกลจากสมัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ และจะล้มเลิกความตั้งใจเมื่อไรก็ได้
ดังนั้นจึงไม่ปรากฏชัดเจนในพุทธภูมิที่จะบังเกิดหรือไม่เกิดในอนาคต ดังนั้นผลบุญที่ทำก็จะอำนวยผลในช่วงเวลานั้นเสียมากกว่า
ที่จะส่งเก็บสะสมในพุทธภูมิ
3. ผลบุญที่พระโพธิสัตว์ได้รับพยากรณ์แน่นอนแล้ว
ซึ่งเป็นบุญที่ทำอย่างยิ่งผลบุญเหล่านั้นจะส่งผลในปัจจุบันและอนาคตอันใก้ลพอประมาณ เพื่อให้ทรงสร้างบารมีต่อ
แต่ผลบุญส่วนมากจะไปปรากฏในพุทธภูมิของท่านเสียมากกว่า ดังนั้นพระโพธิสัตว์ที่เทียงแท้แน่นอน
ท่านจึงมีอุปนิสัยในการสร้างบุญบารมีอย่างต่อเนื่อง และถ้าท่านได้สร้างบุญบารมีกับพระพุทธเจ้ามากเท่าไร
หรือพระพุทธศาสนาก่อนมากเท่าไร ผลบุญบารมีที่จะปรากฏในสมัยพุทธภูมิของท่านมากขึ้นเท่านั้น
ถึงระยะเวลาจะห่างไกลถึง 4
อสงไขย
หรือ 8 อสงไขย หรือ 16 อสงไขย ไม่ได้เป็นอุปสรรค์
เพราะผลบุญไม่ส่งก่อนเวลาเป็นแน่นอน จะรออยู่ในอนาคตสมัยพุทธภูมิของท่าน
และพระนิยตโพธิสัตว์มีแต่จะสร้างบุญบารมีเพิ่มมากขึ้นไปเสียอีก
ตามที่สามารถหาโอกาสที่อำนวยให้ได้ จึงจะเห็นว่าพระนิยตโพธิสัตว์ไม่ค่อยจะอยู่เสวยสุขบนสวรรค์นานนัก
ต้องมีใจปรารถนาลงมาเกิดบนมนุษยโลกอยู่เป็นประจำและถ้านิยติโพธิสัตว์ได้สร้างบุญบารมีกับพระพุทธเจ้า หรือกับพระพุทธศาสนามากเท่าไร
พุทธภูมิที่ท่านจะตรัสรู้ก็จะมีความบริบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น
ดังที่ได้มีข้อมูลการเปรีบเทียบพุทธภูมิของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในพระไตรปิฏก
แต่การที่เราท่านทั้งหลายจะตำหนิว่า
พระพุทธเจ้าองค์นี้สร้างบารมีบกพร่องไม่ดีกว่าพระพุทธเจ้าองค์โน้นในอดิต หรือในอนาคต
นั้นย่อมไม่ได้เป็นอันขาด เนื่องจากไม่ใช่ความผิดของพระองค์
เป็นเพราะโอกาสที่จะอำนวยให้พระองค์สร้างบารมี เมื่อตอนเป็นนิยตโพธิสัตว์
มีไม่เท่าเทียมกันตามกฎกระแสแห่งกรรม และบุญบารมีที่เด่นๆ ก็ต่างต่างกัน
หาได้เหมือนกันทั้งหมดไม่
ที่ทรงมีเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยนิด คือสัมมาสัมโพธิญาณ
และธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอน
พระปัจเจกพุทธเจ้า
เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก(ผมยังไม่มั่นใจ เพราะมีได้หลายกรณี) ต้องสร้างบารมีต่อไปอีก
ถึง 2 อสงไขย
ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ อาจจะสร้างบารมีมาหลายอสงไขยมาก่อนแล้วก็ได้
พระอัครสาวกเบื้องขวาหรือเบื้องซ้าย
เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์
เป็นครั้งแรก ก็ต้องสร้างบารมีต่อไปอีก
ถึง 1 อสงไขยเศษแสนมหากัป
แต่ก่อนที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกนั้นไม่รู้ว่าท่านสร้างบารมีมายาวนานเท่าไร อาจเป็นหลายอสงไขยมาก่อนแล้วก็ได้
พระอเสติที่เป็นเอตทัคคะหรือพระมหาสาวก เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต้องสร้างบารมีต่อ อีก
หนึ่งแสนมหากัป เป็นอย่างน้อย แต่ก่อนหน้านั้นท่านอาจสร้างบารมีมานานมากแล้วก็ได้ ดังมีในพระไตรปิฏก
บางท่านสร้างบารมีนานถึง 4
อสงไขยเศษแสนมหากัป บางท่านสร้างบารมีนานถึง 3 อสงไขย บางท่านสร้างบารมีถึง 2 อสงไขย บางท่านสร้างบารมี 1 อสงไขย แต่อย่างน้อยสุด หนึ่งแสนมหากัป สามารถหาอ่านได้ในพระสุตันตะปิฏกใน
2 เล่มสุดท้าย
แล้วลองหาข้อมูลดู
(ผมจำเล่มที่ไม่ได้) แต่ที่ผมหามาได้ดังข้างล่าง
พระเถระและพระเถรีที่สร้างบามีเกิน
1
อสงไขยสมัยของพระสมณะโคตมที่มีในพระตรัยปิฏก
เมื่อ
4 อสงไขย แสนกัป
พระทีปังกรพุทธเจ้า
1 พระนางยโสธราเถรี เป็นพระเทวีของพระสิทธัตตะ
2.พระเถรีหมื่นแปดพัน เคยเป็นสาวิกาของพระโพธิสัตว์
3.พระเถรีหมื่นรูป เป็นพระญาติพระโพธิสัตว์
เมื่อ
3 อสงไขย แสนกัป
พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
1.พระนิสเสณีทายกเถระ สร้างบันใด
2.พระอัพภัญชนทายกเถระ ถวายยาหยอดตา
3.พระสังกมนทาเถรี ทอดตนเป็นทางเดิน
เมื่อ
2 อสงไขย แสนกัป
พระสุมังคละพุทธเจ้า
1.พระติกัณฑิปุญทิยเถระ บูชาด้วยดอกคล้าว
พระสุมนะพุทธเจ้า
2.พระสัตปัญณิยเถระ บูชาด้วยต้นตีนเป็ด
3.พระวัลลิการผลทายกเถระ ถวายแตง
พระเรวตะพุทธเจ้า
4.พระเอกัญชลิยเถระ ไหว้
พระโสภิตะพุทธเจ้า
5.พระปทุมบูชาเถระ
6.พระพันธุชิวกเถระ ถวายดอกชบา
7.พระศิระปุนนาคิยเถระ ตวาดดอกบุญนาค
เมื่อ
1 อสงไขย แสนกัป
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
*.พระสารีบุตร เป็นฤาษีมีศิษย์ 25,000 ท่าน ถวายดอกไม้
เป็นอัครสาวกเบื้องขวา
*.พระโมคคลา เป็นพระยานาค ถวายภัตตาหารและปัจจัย
เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
1.พระพักกุลเถระ ถวายยา เป็นเอตทัคคะไม่มีโรคภัย
2.พระเบญจสิลสมาทานนิยเถระ
3.พระโสณโกฏิยเวสสเถระ ทำที่จงกรม เป็นเอตทัคคะ
4.พระอัมพทายเถระ เป็นวานรถวายมะม่วง
5.พระอนุโลมทายกเถระ
6..พระมักตทัตติเถระ
7.พระปานธทายกเถระ ถวายรองเท้า
พระปทุมะพุทธเจ้า
8.พระสุปาริจริยเถระ เป็นเทวดา บูชา
9.พระอโสกปูชาเถระ ถวายดอกบัว
10.พระอังโกลปุปผิยเถระ
พระนารถะพุทธเจ้า
11.พระนฬกุฏิกทายกเถระ สร้างกุฏิไม้อ้อ
ดังนั้นอาจยังมีพระอรหันต์ที่สร้างบารมีมายาวนานแล้ว แต่ไม่ได้บัญญัติในพระตรัยปิฏกย่อมมีมากมาย
รวมทั้งพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนสร้างบารมีมาเป็นสิบสิบอสงไขย แล้วเปลี่ยนความตั้งใจเป็นพระสาวกก็ย่อมมีมากมายในภายหลัง
พระอรหันต์เหล่านี้ย่อมมีบุพเพนิวาสนุตญาณ ระลึกชาติได้หลายอสงไขยและสามารถมีอนาคตังคญานได้ไกลหลายแสนมหากัป เป็นคุณสมบัติเฉพาะของท่าน
ผู้ที่ปรารถนาถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลัน เมื่อท่านได้พบพุทธศาสนาอย่างเช่นปัจจุบันนี้
ท่านก็เพียรพยายามทำกรรมฐาน ตามสติปะฐาน 4 อย่างไม่ตกบกพร่องติดต่อกันอย่างมากไม่เกิน 7 ปี
ท่านต้องบรรลุธรรมเป็นอริยะไม่ขั้นใดขั้นหนึ่งแน่นอน ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองไว้
วิเคราะห์การบังเกิดขึ้นของพุทธเจ้าตามพระไตรปิฏกแล้วต่อด้วยความเข้าใจของข้าพเจ้า
ช่วง 4
อสงไขย ก่อนเศษแสนมหากัป มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 12 พระองค์
พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นห่างกัน 1
อสงไขย ถึง 3 ช่วง
ช่วง แสนมหากัปถึงปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 15 พระองค์
ช่วง 100
มหากัปถึงปัจจุบันมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 10 พระองค์
ถ้ารวมพระศรีอริยะเมตตรัยที่บังเกิดมีในอนาคตเบื้องหน้าในกัปนี้ เป็น 11 พระองค์ ตามที่ผมเข้าใจ(อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้) ในเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมากใน 100 กัปนี้ ถึง 11 พระองค์ ดังนั้นหลังจากกัปนี้ไปแล้ว
คงจะเป็นเวลานานแสนนานเป็นแสนแสนกัป
จึงจะมีพระพุทธเจ้าอีกสักหนึ่ง หรือ สองพระองค์
ซึ่งมันน่าหวาดกลัวมากสำหรับผู้ที่ปารถนาเพื่อถึงนิพพานโดยเร็วพลัน
เรื่องได้ยินได้จำมาและเติมแต่งบ้างของผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องที่ 1.พระภิกษุพม่ารูปหนึ่งบวชเรียน และปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลานาน แต่ทุกครั้งที่ไปไหว้พระเจดีย์ชเวกาดอง ต้องอธิฐานออกมาดังๆ
ทุกครั้งว่าปรารถนาที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และกุฏิของท่านก็อยู่ใกล้กับเจดีย์ชเวกาดอง
ท่านปฏิบัติอย่างนี้เรื่อยๆ
มา แต่ก็แปลกที่ว่ามีผู้ชาย
3
คนคงอาศัยอยู่บริเวณแถวนั้น พอเลิกงานก็ต้องตั้งวงกินเหล้ากันเป็นประจำ
และเมื่อเดินมาผ่านเจดีย์พูดเสียงดังตามประสาคนเมาและกราบไหว้เจดีย์เป็นประจำ พระภิกษุรูปนี้ก็เห็นพฤติกรรมของชาย
3 คนมาตลอด
มีอยู่วันหนึ่งหลังจากท่านไปกราบและอธิฐานที่พระเจดีย์เสร็จ ก็กลับไปที่พักพอดีกับชาย 3
คนนั้นเมามา
และนั่งกราบพระเจดีย์ คนเมาคนที่
1 พูดว่า
ข้าปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
และต้องตรัสรู้ก่อนเพื่อน
2 คนนี้ คนเมาคนที่ 2 พูดว่า
ข้าก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ข้าต้องตรัสรู้ก่อนเพื่อน 2 คนนี้ คนเมาคนที่ 3 ก็พูดขึ้นว่า ข้าก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ต้องตรัสรู้ก่อนพวกท่าน
2 คน คนเมาทั้ง 3 คนเมื่อพูดกันไม่ลงลอยกัน จึงเกิดการถกเถียงกัน
จนทั้งตะรุมบอลชกต้อยกัน พระภิกษุรูปนั้นเห็นอยู่เกิดปรงตกในตนเองว่า เราก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
และยากจะตรัสรู้ก่อนพวกคนเมา
3 คนนี้ ดังนั้นเราต้องทุบตีและชกต่อยกับคนเมาทั้ง
3 คนนี้ไปทุกชาติหรือ แม้แต่คนเมายังแย่งชิงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
แล้วเราผู้ซึ่งเป็นพระภิกษุจะไปแย่งชิงกับคนเหล่านั้นหรือ
ดังนั้นเราจึงควรจะยกเลิกความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเสียดีกว่า ตั้งแต่นั้นพระภิกษุรูปนี้ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีกเลย
เรื่องที่ 2
มีพระภิกษุรูปหนึ่งในพระเทศไทย
ท่านได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ปฏิบัติอย่างดีวิปัสสนาญาณก็เจริญก้าวหน้าดี
ปฏิบัติเป็นเวลานานแล้ววิปัสสนาญานก็ไม่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้นไปจากนั้นอีก จึงเข้าไปปรึกษาพระอาจารย์สอนกรรมฐาน
อาจารย์สอนกรรมฐานก็แนะนำให้ลองไปตรวจสอบตนเอง โดยใช้กำลังวิปัสสนากรรมฐานนี้ละอธิษฐานดู พระภิกษุรูปนั้นก็กลับไปอธิษฐานสำรวจดูตนเอง ก็ทราบว่าตนเองปรารถนาพุทธภูมิ
จึงไปบอกให้พระอาจารย์ทราบ พระอาจารย์จึงถามว่า
สามารถล้มเลิกได้ไหม? พระภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า ล้มเลิกไม่ได้
พระอาจารย์จึงกล่าวว่าอย่างนั้นก็ต้องฝึกสมาธิแทนวิปัสสนากรรมฐาน
แต่สมาธิที่เกื้อหนุนกับวิปัสสนาญาณก็เห็นแต่พรหมวิหาร 4 นี้ละ ได้แก่ เมตตา
เป็นต้น หลังจากนั้นพระรูปนี้ได้ออกธุดงค์ จำพรรษาอยู่ในถ้ำเป็นที่สงบร่มรื่น ใครไปเยี่ยมท่านก็จะรู้สึกสงบร่มรื่นไปด้วย
เรื่องที่ 3 ผู้ชายคนหนึ่งมีครอบครัวแล้วมีฐานะดีในประเทศไทย
และได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านแต่ไปๆ มาๆ ที่วัดบ่อยๆ
จึงสนิทและรับเป็นอุปฐากให้กับพระอาจารย์สอนกรรมฐาน เมื่อเวลานานวันเข้าชายผู้นี้ก็ได้บอกกับพระอาจารย์ว่า
เขาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าประเภทศรัทธาพุทธเจ้า พระอาจารย์สอนกรรมฐานก็รับฟัง
และดูพฤติกรรม
และความศรัทธาของชายผู้นี้ไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาปีๆ
จึงสรุปว่าชายผู้นี้มีความปรารถนาจริง ไม่ใช้เกิดจากความยากชั่วครั้งชั่วคราว
และอาจจะได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาแล้ว
เป็นการประเมินเอาแต่หาได้ใช้สมาธิเข้าไปดูให้
เรื่องที่ 4 ยังมีชายผู้หนึ่งมีครอบครัวแล้วพอมีฐานะในประเทศไทย
และได้ฝึกสมาธิแต่ไม่ได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน จนได้สมาธิถึงระดับหนึ่ง ก็บังเกิดนิมิตขึ้นมา
เห็นพระพุทธเจ้าในนิมิตมาตรัสบอกว่า เขาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
หลังจากนั้นชายผู้นี้ได้บอกกับพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน และกล่าวว่าเขาอาจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในสมัยหน้า คือพระศรีอริยะเมตตรัย พระอาจารย์สอนกรรมฐานก็รับฟังแต่ไม่ได้ว่าอะไร
แต่ท่านได้มาสรุปเป็นความรู้ของท่านว่า
ผู้ที่มีสมาธิสูงๆ
อาจทำให้บังเกิดนิมิตต่างๆ ได้มากมายซึ่งอาจไม่เป็นจริง แต่เห็นจริง
เรื่องที่ 5 ยังมีอาเสี่ยผู้หนึ่งเป็นคนที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ชอบไปวัดไปวาหาพระผู้ใหญ่เป็นประจำ
เพื่อได้ทำบุญกับพระผู้ใหญ่ที่ตนเองศรัทธาว่าเป็นพระอริยะ แต่เสี่ยผู้นี้ชอบเรื่องอิทธิอภินิหาร
เมื่อทราบข่าวว่ามีเหล็กไหลหรือวัตถุที่วิเศษที่ใหนก็จะไปพิสูจน์ที่นั้นเพื่อเอามาไว้บูชา ตามอุปนิสัยของเขา และอาเสี่ยคนนี้ก็เคยแอบกระซิบกับอาจารย์ของเขาว่า เขาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องที่ 6 ที่ถ้ำเชียงดาว
มีพระรูปหนึ่งหรืออาจจะบวชเณรก็ได้เพราะไว้หนวดไว้เครา หุ้มจีวรถับหนังเสือ
และประกาศตนเองให้เป็นที่รู้กันว่าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า อย่างชัดเจน
อยู่ในถ้ำเพียงท่านเดียวไม่ไปข้องแวะกับผู้ใด
นอกจากไปบิณฑบาตและมีผู้ที่มาสนทนาด้วย
เรื่องที่ 7 สมัยพุทธศาสนาปัจจุบันหลังจากพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้ว
พระเจ้าแผ่นดินลังกาองค์หนึ่ง ได้สละสมบัติด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบไปบวชเป็นฤาษี
ในป่าห่างจากเมืองไกลจากผู้คน พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จึงขึ้นครองราชย์แทน
แต่พระองค์ปกครองอยู่ไม่กี่ปีก็โดนแย่งราชสมบัติจากพระญาติ พระญาติก็ตั้งตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์
พระองค์มีความเหี้ยมโหดน่าดูสั่งประหารบุคคลที่คิดว่าจะมาแย่งราชสมบัติทั้งหมด พระองค์ทรงละลึกถึงเสด็จลุงที่ไปบวชเป็นฤาษี กลัวว่าจะกลับมาแย่งราชสมบัติคืน จึงสั่งให้ทหารออกตามล่า
และตกรางวัลกับประชาชนที่สามารถเอาศีรษะของเสด็จลุงมาได้
โดยจะพระราชทานทั้งทรัพย์สินและข้าทาส ทำให้ประชาชนตื่นตัวตามหากัน
มากล่าวถึงฤาษีอดีตพระเจ้าแผ่นดินลังกา
เมื่อบวชเป็นฤาษีก็ฝึกสมาธิอย่างดีเยี่ยมจนสำเร็จอภิญญา 5
อาศัยอยู่ในป่าใกล้ลำธารเล็กและภูเขา วันหนึ่งชาวบ้านที่มีอาชีพหาของป่าประมาณ 3-4 คนเดินทางผ่านมา
เห็นอาศรมของฤาษีจึงแวะเข้าไปสนทนา
ซึ่งขณะนั้นฤาษีกำลังฉันอาหารพอดี ชาวบ้านจึงรอจนฤาษีฉันอาหารเสร็จ
ฤาษีจึงเอาจานและก้างปลาที่เหลือไปล้างที่ลำธาร ชาวบ้านก็ติดตามไปดู
พอฤาษีปล่อยก้างปลาลงในลำธาร ทันใดนั้นกางปลากลายเป็นปลาเป็นๆ
ว่ายน้ำหนีไปชาวบ้านก็ประหลาดใจกันใหญ่ หลังจากนั้นก็ได้สนทนากับฤาษี
และได้กล่าวกับฤาษีว่า
พวกข้าเป็นคนจนหากินขัดสนจึงเทียวหาของป่าและได้ข่าวว่าทางพระเจ้าแผ่นดินจะประทานทรัพย์สินให้มากมาย
ถ้าผู้ใดสามารถเอาศีรษะอดีตพระราชามาถวาย พวกข้าเวลาหาของป่าจึงเสาะหาเผื่อจะเจอจะได้มีทรัพย์สินมีอยู่มีกินกับเขาบ้าง
ฝ่ายฤาษีเมือได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า ราชาหลานของเราเป็นคนใจคอโหดร้ายคงไม่ล้มเลิกที่จะเอาศีรษะเรา
และเพื่อเป็นการให้ทานแก่ชาวบ้านเหล่านี้ให้หลุดจากสภาพความอยากจน และเพื่อบารมีที่เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เราจะสละศีรษะให้ชาวบ้านเหล่านี้ ท่านฤาษีจึงพูดกับชาวบ้านว่า
'เรานี้เองเป็นอดีตดราชาองค์ก่อนที่สละสมบัติออกบวชเป็นฤาษี'
ชาวบ้านตกใจกันใหญ่
ท่านฤาษีจึงกล่าวต่อ 'เราจะยกศีรษะให้กับพวกท่านเพื่อเป็นทานให้ท่านพ้นสภาพจากความยากจน
จงเอาดาบมาให้เราๆ
จะตัดศีรษะให้พวกท่านและพวกท่านไม่ต้องกลัวว่าทหารหรือพระราชาจะไม่รู้ว่าเป็นศีรษะของเรา'
หลังจากนั้นท่านฤาษี
จึงหยิบดาบด้วยมือขวาส่วนมือซ้ายจับมวยผมของตนเอง แล้วตัดศีรษะตนเองยื่นให้พวกชาวบ้านโดยไม่ล้มลง
พวกชาวบ้านมีความหวาดกลัวแต่ต้องรับศีรษะท่านฤาษีใส่หอผ้า แล้วเดินทางไปยังเมืองหลวงแจ้งให้ทหารทราบว่า
ได้นำศีรษะของอดีตราชาองค์ก่อนที่พระราชาต้องการมาถวาย จึงเปิดห่อผ้าที่บรรจุศีรษะให้ดู
เมื่อทหารตรวจดูก็กล่าวว่า
ผมก็ยาวหนวดเครารุงรังจะเชื่อได้หรือว่าเป็นศีรษะของราชาองค์ก่อนพอทหารกล่าวจบดังนั้น ศรีษะของท่านฤาษีที่อยู่บนห่อผ้าก็เกิดลอยขึ้นบนอากาศ
แล้วประกาศออกมาว่า 'ศรีษะนี้และเป็นศรีษะอดีตพระราชา ซึ่งเป็นลุงของราชาพวกเจ้าให้ตามราชาพวกเจ้ามาดู' เมื่อพระราชาได้ทราบข่าวก็บังเกิดสำนึกได้เสียใจในการกระทำของตนเอง
จึงให้ทหารเอาร่างมาต่อกับศรีษะ และถวายทรัพย์ให้กับชาวบ้านที่นำศีรษะมามอบให้
พร้อมทั้งพระราชทานเพลิงศพอย่างสมพระเกียรติของพระราชา แล้วให้สร้างเจดีย์ถวายเพื่อเป็นที่บูชาของพระชาชน
เป็นการถ่ายถอนความผิดของพระองค์
เรื่องที่ 8
เป็นเรื่องสมัยรัตนโกสินทร์เมื่อประมาณ
100 กว่าปีมาแล้ว
เป็นเรื่องของชาวบ้านธรรมดา ที่เป็นเพื่อนกัน 3 คน
ที่มีความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน จึงเดินทางไปวัดอรุณ(วัดแจ้ง) เพื่อทำการเสี่ยงทายกันว่าใครใน
3
คนนี้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าจะได้สำเร็จก่อนกัน โดยเอาดอกบัวตูมมา 3 ดอกถือเอาคนละดอก
บูชาพระและอธิฐานเสี่ยงทายว่า
ถ้าวันรุ่งขึ้นดอกบัวของใครบานก่อนผู้นั้นจะได้สำเร็จก่อน ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นดอกบัวของนายเรืองบานเพียงดอกเดียว
ส่วนอีก 2 ดอกไม่บาน ทำให้นายเรืองเกิดความศรัทธาในพุทธภูมิยิ่งขึ้น
ได้ถือศีล 8 บวชเป็นชีพราหมณ์ ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดอรุณ อาหารการกินก็รับจากคนที่บริจาคตามมีตามได้ ปฏิบัติตนเหมือนฤาษีอยู่เป็นเวลานาน
อยู่มาในเย็นวันหนึ่ง
ขณะที่พระเทศนาจบกำลังจะกรวดน้ำ ซึ่งมีคนมาฟังเทศนากันมากเป็นประจำ
นายเรืองจึงปลีกตัวออกมาด้านนอกคนเดียว แล้วเอาสำลีผ้าฝ้ายชุบน้ำมันก๊าดที่เตรียมไว้แล้ว
พันรอบตัวเองนั่งพนมมือ แล้วจุดไฟเผาตัวเองเพื่อบุชาพระ
ในขณะเดียวกับคนที่มาฟังเทศกำลังทยอยกลับออกจากศาลา จึงเห็นไฟลุกท้วมตัวนายเรื่องอย่างรวดเร็วในท่านั่งพมนมือสงบนิ่งไม่ไหวติง
คนที่ทยอยออกจากศาลาก็รู้เกียรติคุณของนายเรื่องดี เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงมายืนออดูกันเต็ม
ในกองเพลิงที่
ร่างของนายเรื่องนั่งพนมมือไม่ไหวติง ก็ได้ยินเสียงนายเรื่องกล่าวออกมาว่า
"สำเร็จแล้ว" "สำเร็จแล้ว" หลังจากนั้นเสียงเงียบหายไป
คนที่อออยู่บังเกิดความศรัทธาจึงพนมมือ และมีแขกที่ศีรษะโพกผ้าที่มาฟังเทศเกิดความศรัทธามากย่อมแกะผ้าโพกหัวโยนลงในกองไฟ
คนอื่นก็โยนสิ่งของที่มีอยู่ลงไปในกองไฟด้วย รอจนกระทั่งไฟดับจึงนำร่างของนายเรื่องบรรจุโลงศพ
ทำพิธีเพื่อจะเผาตั้งไวที่ศาลาริมน้ำ
ในวันนั้นมีเหตุการแปลกอย่างหนึ่งคือ ปลาที่ท่าศาลานั้นกระโดดขึ้นมาตายเป็นจำนวนหลายตัว
เมื่อทำการเผาศพของนายเรืองเสร็จ กระดูกของนายเรืองที่เหลือมีสีเป็นสีเหลืองทั้งหมด
ชาวบ้านจึงนำกระดูกของนายเรื่องมาไว้ที่วัดอรุณ พร้อมทั้งปั่นรูปของนายเรือง
ในท่านั่งพนมมือเหมือนตอนเผาตัวเอง
ให้เป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลังซึ่งสามารถไปดูได้ที่วัดอรุณ (ข้อวินิสัยของผู้เขียนการที่นายเรืองเผาตัวเองในท่าสงบนิ่ง ไม่แสดงทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว แสดงว่านายเรืองมีขันติอย่างยอดเยี่ยม
และการที่หลังจากนั้นนายเรื่องกล่าวออกมาว่า "สำเร็จแล้ว" "สำเร็จแล้ว" โดยชัดเจนแสดงว่านายเรืองมีสมาธิดีจิตอยู่เหนือร่างกายแล้วบังเกิดญาณรู้ขึ้นมา ซึ่งเป็นไปได้ 2
กรณี กรณีที่ 1.นายเรืองได้บรรลุถึงนิพพานจึงกล่าววาจานั้นออกมา กรณีที่ 2.
นายเรืองบังเกิดความยินดีว่าตนเองสละชีวิตเพื่อปารถนาเป็นพุทธเจ้าสำเร็จแล้ว จึงกล่าววาจาออกมา
หมายเหตุ ตามที่ผมเข้าใจจากตำราในหลายที่ วิสัยของพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว
เมื่อบังเกิดในพระพุทธศาสนาอีกสมัยหนึ่ง ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ชายและได้ปฏิบัติธรรม
ด้วย ทาน ศีล สมาธิ และภาวนา จนสูงสุดของบารมีในขณะนั้น ก็จะบังเกิดนิมิตพร้อมทั้งให้ทราบด้วยตัวเอง
ว่าได้ปารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานานหรือไม่ ในรูปของนิมิตในสมาธิที่ชัดเจน
และจะมีใจตั้งมั่นในพุทธภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อย ด้วยใจของตัวเอง
แต่ถ้าในชาตินั้นได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้ามีพระชนชีพอยู่ และได้ถวายทาน รักษาศีล
ปฏิบัติธรรมกับพระพุทธองค์ จนระลึกได้ว่าตนเองปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์นั้นก็จะทรงพยากรณ์ย้ำอีกว่าในอนาคตอีกนานเท่าไร
จึงจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
แต่ถ้าเกิดไม่ทันในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนชีพอยู่แต่ยังบังเกิดมีพระอนาคามีหรือพระอรหัน ที่ท่านมีอภิญญาที่เป็นพระอริยะแท้จริงอยู่
แล้วได้ถวายตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมอยู่กับท่าน จนถึงจุดสูงสุดโลกิยะญาณ
ของวิปัสสนากรรมฐาน
จนรู้ถึงความปารถนาพุทธภูมิของตนเอง และอภิญญาของท่านพระอาจารย์สามารถตรวจสอบอดีต
ไปถึงได้ในสมัยที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ถ้าลูกศิษย์ของท่านขอร้องและท่านพระอาจารย์อนุเคราะห์ท่านก็จะดูให้
ก็จะได้ทราบความจริงได้ หรือไม่อย่างนั้นพระโพธิสัตว์องค์นั้น
ทำอภิญญาให้บังเกิดในตนเอง ก็จะได้ทราบตนเองอย่างละเอียด)
เรื่องที่ 9 เป็นเรื่องของมหายาน มีพระเถระผู้หนึ่งจะเดินทางไปทำธุระอีกวัดหนึ่ง จึงให้สามเณรลูกศิษย์เก็บสัมภาระที่จำเป็นของพระ แบกติดสอยห้อยตามไปด้วย เมื่อเดิมถึงกลางทางสามเณรคนนั้น
ก็เกิดนึกถึงพระโพธิสัตว์ ที่สร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
สามเณรเลยคิดยากจะเป็นบ้าง
เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ขณะที่เดินแบกสำภารอยู่
พระเถระจึงหยุดรอแล้วกล่าวกับสามเณรว่า เอาสัมภาระมาให้อาจารย์ๆ จะถือและแบกให้เอง
แล้วให้สามเณรเดินนำหน้า ในขณะที่สามเณรเดินนำหน้าอย่างสบายอยู่ ก็เกิดนึกถึงว่า
การสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องใช้เวลานานแสนนาน และต้องทุกข์ลำบากอีกมากมาย
จึงคิดว่าอย่าไปหวังเป็นพระพุทธเจ้าเลยเพราะยากเกินไป พอสามเณรคิดอย่างนี้จบ
ก็ได้ยินพระเถระเรียกให้หยุด เมื่อพระเถระเดินไปถึงสามเณร ก็บอกให้สามเณรแบกสัมภาระและให้เดินตามหลังท่านเหมือนเดิม
สามเณรเกิดสงสัยจึงถามพระเถระว่า "ทำไม่เมื่อครู่ท่านอาจารย์หยุดรอกระผม
แล้วขอเอาสัมภาระไปแบกเอง แล้วให้กระผมเดินนำหน้า แต่พอตอนนี้กลับเรียกให้กระผมหยุด
เอาสัมภาระให้ผมแบก และยังสั่งให้เดินตามหลัง " พระเถระจึงบอกให้ทราบว่า
"เมื่อตอนแรกเธอคิดปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
อาจารย์จึงขอแบกสัมภาระแทนเธอ และให้เธอเดินนำหน้า
เพราะพระโพธิสัตว์นั้นต้องแบกภาระอันต้องสร้างบารมีอีกมากมาย
อาจารย์ไม่ได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าจึงต้องช่วยแบกภาระเล็กน้อยๆ ให้แก่ผู้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง และพระพุทธเจ้าต้องนำหน้าพระสาวก อาจารย์จึงให้เธอเดินนำหน้า
แต่เมื่อเธอคิดล้มเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
เธอก็ไม่ได้มีบารมีอะไรเหนือกว่าอาจารย์ ซ้ำยังเป็นสามเณรธรรมดาคนหนึ่ง
จึงต้องแบกสัมภาระเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปและต้องเดินตามหลังพระผู้ใหญ่" เมื่อสามเณรได้ฟังดังนี้เกิดมีกำลังใจกล้า จึงพูดกับอาจารย์ว่า
"อย่างนั้นกระผมปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่า และกระผมขอแบกสัมภาระเอง
แล้วขอเดินตามหลังอาจารย์ เพราะกระผมเป็นลูกศิษย์ จะตีตนเสมออาจารย์นั้นไม่ได้" แล้วพระเถระกับสามเณรก็เดินทางกันต่อ
หมายเหตุ การที่พระเถระทำอย่างนี้เพื่อเตือนสติลูกศิษย์
แต่ถ้าสุดท้ายลูกศิษย์ยืนยันที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และให้พระเถระแบกสัมภาระ
แล้วให้เดินตามหลังอีก ก็อาจจะโดนวาทะของพระเถระให้สำนึกอีกเป็นคำรบสอง ก็เป็นไปได้
ยังมีผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีกมากมาย จะตำหนิว่าท่านโง่ก็ว่าได้
แต่เป็นอนุสัยมหากุศล
เมื่อใดท่านหายโง่ถึงแม้นไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นเพียงพระสาวก ประโยชน์นั้นมหาศาลมาก
เป็นการจรัสแสงให้กับพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าได้นิพพานไปแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่ไม่ปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
ปารถนาเป็นแค่พระสาวกจะไม่สามารถทำให้พระธรรมจรัสแสง หรือจรัสแสงน้อยกว่าก็หาไม่
มีพระอรหันต์เกิดขึ้นบนโลกเพียง 1
องค์
นับว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลกเมื่อเทียบกับระยะเวลาอันยาวนาน ของวัฏฏะสงสารนี้
แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมอ่านในพระไตรปิฏก
พระนิยตะโพธิสัตว์อดีตชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อเจอพระพุทธเจ้า
หรือพระศาสนา
ท่านย่อมทำให้พระธรรมงดงามเป็นที่ชื่นชมของปวงชน ท่านไม่เคยทำให้พระสัทธรรมเสื่อม
มีแต่ความผิดเฉพาะตัวบุคคลบ้างที่เป็นกรรมส่งผลให้ ผมจึงเชื่อว่าพระนิยตโพธิสัตว์จะไม่ทำลาย หรือลบล้างพระสัทธรรมอย่างแน่นอน
และบารมีของท่านที่สร้างมาไม่ใช่เพื่อล้มล้างพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสังสอนไว้ดีแล้ว นอกจากจะส่งเสริมให้งดงามขึ้น
แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนนั้น อะไรก็ยังเกิดขึ้นได้กับท่าน
ดังนั้นท่านที่มีธรรมและผู้รู้ผู้เข้าใจธรรม ในโลกเรา
จึงมีความเกรงว่าท่านเหล่านี้ทำให้สัทธรรมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
ต่อไปจะเทียบระยะเวลา 1 กัป 1 อสงไขย
และ 1 ปทุมะนรก
ให้พิจารณากันดู
เพื่อปลงสังเวช กับอัตตา(อวิชชา)ของสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งเป็นค่าโดยประมาณ อาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากกว่านี้ก็ได้ ใครมีความรู้ในทางคณิตศาสตร์
ก็สามารถช่วยแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้ค่าที่ถูกต้องมากขึ้น
เรื่องของ กัป จากพระไตรปิฏกประมาณคำว่า
1 กัปได้ดังนี้
สมมุติมีกล่องใบหนึ่ง
กว้าง 100 โยชน์ ยาว 100โยชน์ และ สูง 100 โยชน์ ในเวลา 100 ปี ให้เอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ด
ใส่ลงไปในกล่องนั้น ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดนั้นเต็มเสมอเรียบปากกล่อง นั้นละจึงเท่ากับ 1 กัป
(บางตำรากล่าวว่า
กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์)
วิเคราะห์คำนวณ
1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร
ดังนั้นกล่องใบนี้มีปริมาตร = 1600X1600X1600 =
4,096,000,000
ลูกบาตกิโลเมตร
ประมานว่า เมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร
1 กิโลเมตรเทียบเป็นมิลลิเมตรได้ดังนี้ 10X100X1000 =
1,000,000
มิลลิเมตร
จะได้
1
กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด
ดังนั้น 1600 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = 1600X2,000,000 =
3,200,000,000 เมล็ด
ถ้าเป็นปริมาตร คือ กว้าง*ยาว*สูง ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด
คือ
3,200,000,000X3,200,000,000X3,200,000,000 =
32,768,000,000,000,000,000,000,000,000 เมล็ด
ใน 100
ปี ใส่เมล็ดผักเพียง 1
เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดคือ
32,768,000,000,000,000,000,000,000,000X100 =
3,276,800,000,000,000,000,000,000,000,000 ปี
จึงได้เวลา 1 กัป ประมาณ
สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้านล้าน ปี
ประมาณ 3.3 X 10**30 ปี
เครื่องหมาย ** เป็นเครื่องหมาย ยกกำลัง
(หมายเหตุ บางตำรากล่าวว่า กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง
1 โยชน์
จึงได้ 1 กัป ประมาณ 3.3
X 10**24
ปี โดยเอา 0 ออกไป 6 ตัว
จากค่าที่คำนวณได้ในครั้งแรก)
เรื่องของอสงไขย
จากหนังสือสัมภาระโพธิญาณ
(จำไม่ค่อยได้) เป็นหนังสือเก่ามากแล้ว เรียบเรียงก่อนที่ผมเกิดเสียอีกประมาณ
42 ปีมาแล้ว
เสียดายไม่ได้จดชื่อผู้เรียบเรียง แต่ค่าที่ได้ก็ตรงกับผู้ที่คำนวณไว้ก่อน สามารถนับ 1 อสงไขย
และเทียบกับหน่วยนับปัจจุบันได้ดังนี้
สิบ สิบหน เป็น ร้อย 10**2
สิบร้อย
เป็น พัน 10**3
สิบพัน
เป็น หมื่น 10**4
สิบหมื่น
เป็น แสน 10**5
ร้อยแสน เป็น โกฏิ 10**7
ร้อยแสนโกฏิ เป็น ปโกฏิ 10**7 X
10**7 = 10**14
ร้อยแสนปโกฏิ เป็น โกฏิปโกฏิ 10**7 X 10**14 =
10**21
ร้อยแสนโกฏิปโกฏิ เป็น นนุตหนึ่ง 10**7 X 10**21 =
10**28
ร้อยแสนนนุต เป็น นินนนุตหนึ่ง 10**7 X 10**28 =
10**35
ร้อยแสนนินนุต เป็น อักโขภินีหนึ่ง 10**7 X 10**35 =
10**42
ร้อยแสนอักโขภินี เป็น พินทะหนึ่ง 10**7 X 10**42 =
10**49
ร้อยแสนพินทะ เป็น อัพภูทะหนึ่ง 10**7 X
10**49 = 10**56
ร้อยแสนอัพภูทะ เป็น
นิรพุทะหนึ่ง 10**7
X 10**56 = 10**63
ร้อยแสนนิรพุทะ เป็น อหนะหนึ่ง 10**7 X 10**63 =
10**70
ร้อยแสนอหนะ เป็น อพพะหนึ่ง
10**7 X 10**70 = 10**77
ร้อยแสนอพพะ เป็น อฏฏะหนึ่ง
10**7 X 10**77 = 10**84
ร้อยแสนอฏฏะ เป็น โสคันธิกะหนึ่ง
10**7 X
10**84 = 10**91
ร้อยแสนโสคันธิกะ เป็น
อุปละหนึ่ง 10**7
X 10**91 = 10**98
ร้อยแสนอุปละ เป็น กมุมะหนึ่ง
10**7 X 10**98= 10**105
ร้อยแสนกมุมะ เป็น ปทุมะหนึ่ง 10**7 X
10**105= 10**112
ร้อยแสนปทุมะเป็น ปุณฑริกะหนึ่ง 10**7 X 10**112=
10**119
ร้อยแสนปุณฑริกะ เป็น อกถานหนึ่ง
10**7 X
10**119= 10**126
ร้อยแสนอกถาน เป็น มหากถานหนึ่ง 10**7 X 10**126=
10**133
ร้อยแสนมหากถาน เป็น อสงไขยหนึ่ง10**7 X 10**133=
10**140
ดังนั้น 1 อสงไขย = สิบยกกำลัง
หนึ่งร้อยสีสิบ หรือ 1 ตามด้วย 0 จำนวน 140
มหากัป
ข้อสังเกต จำนวนปีของมนุษย์โลกเทียบกับ
1
กัปนั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอีกมากมาย จึงไห้ถือกำหนดเอา
โลกจักรวาลเมื่อก่อกำเนิดขึ้นจนกระทั้งพังทลายศูนย์หายไป 1 ครั้ง เป็น 1 กัป แต่จำนวน 1 อสงไขยมีกี่กัปนั้นเป็นจำนวนที่แน่นอน คือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 1 X 10**140
อายุขัยของเทวดาเทียบกับปีของมนุษย์โลก
หนึ่ง
1
ปีทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้น เท่ากับ 360 วันทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้น
ชั้นจาตุมีอายุ
500 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์ เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์ ดังนั้นเท่ากับ 500X360X50 =
9,000,000
ปี
ชั้นดาวดึงส์
" " 1000 "
" 1
"
" 100 "
" เท่ากับ
36,000,000
ปี
ชั้นยามา
" " 2000 "
" 1
"
" 200 "
" เท่ากับ 144,000,000 ปี
ชั้นดุสิต
" " 4000 "
" 1
"
" 400 "
" เท่ากับ 576,000,000 ปี
ชั้นนิมมา
" " 8000 "
" 1
"
" 800 "
" เท่ากับ 2,304,000,000 ปี
ชั้นปรมิน
" " 16000 "
" 1
"
" 1600
"
" เท่ากับ 9,216,000,000 ปี
อายุของพระพรหม รูปฌาน 1 ถึง
รูปฌาน 4
รูปฌาน 1 มีอยู่ 3 ชั้น
สมาธิอย่างอ่อน ปาริสัชนาพรหม มีอายุ
1/3 กัป
สมาธิอย่างกลาง ปุโรหิตพรหม
มีอายุ
1/2 กัป
สมาธิอย่างสูง มหาพรหม มีอายุ
1 กัป
รูปฌาน 2 มีอยู่ 3 ชั้น
สมาธิอย่างอ่อน ปริตตาภาพรหม
มีอายุ
2 กัป
สมาธิอย่างกลาง อัปปมาณภาพรหม มีอายุ
4 กัป
สมาธิอย่างสูง อาภัสสราพรหม มีอายุ
8 กัป
รูปฌาน 3 มีอยู่ 3 ชั้น
สมาธิอย่างอ่อน ปริตตสุภาพรหม
มีอายุ
16 กัป
สมาธิยย่างกลาง อัปปมาณสุภาพรหม มีอายุ
32 กัป
สมาธิอย่างสูง สุภกิณหาพรหม มีอายุ
64 กัป
รูปฌาน 4 มีอยู่ 2 ชั้น
เวหัปผลพรหม
มีอายุ
500 กัป
อสัญญสัตราพรหม มีอายุ
500 กัป
สุทธาวาสพรหม มี 5 ชั้น
เป็นภพของพระอนาคามี
1. อวิหา มีอายุ
1,000 กัป
2. อตัปปา มีอายุ
2,000 กัป
3. สุทัสสา มีอายุ
4,000 กัป
4. สุทัสสี มีอายุ
8,000 กัป
5. อกนิฏฐา มีอายุ
16,000 กัป
อรูปพรหม มี 4 ชั้น
1.อากาสานัญจายตนพรหม
มีอายุ 20,000 กัป
2.วิญญาณัญจายตนพรหม
มีอายุ 40,000 กัป
3.อากิญจัญญายตนพรหม
มีอายุ 60,000 กัป
4.เนวสัญญานาสัญญายตนาพรหม มีอายุ 84,000 กัป
พิจารณาดูจะเห็นว่า
เมื่อมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 พระองค์ ขณะที่พระองค์มีพระชนชีพอยู่
แสงสว่างของ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กระจายไปทั่วสากลจักวาลอย่างรวดเร็ว เหมือนกับสายฟ้าแลบ
และแสงสว่างแห่งธรรมนั้นยังคงสว่างสไหวอยู่
เมื่อพระองค์ดับขันท์ปรินิพพานแม้อายุขัยของภพมนุษย์นั้นจะเพียงน้อยนิด
แต่แสงสว่างในธรรมนั้นก็ค่อยทยอยดับอย่างช้าๆ
เริ่มต้นจากโลกมนุษย์นี้ก่อน แล้วทยอยดับไปยัง
สวรรค์ชั้นจาตุ ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมา ชั้นปรมิน
แล้วทยอยดับไปที่
รูปพรหมของฌานทั้ง
4 ซึ่งทยอยดับไปที่ละชั้น จนถึงสุทธาวาสพรหมทั้ง 5
ชั้นทยอยดับที่ละชั้น จนถึงอรูปพรหม ที่พระอริยะบางท่านจุติอยู่
ถ้ายังไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่บังเกิดขึ้นในโลก แสงสว่างของธรรมจากพระพุทธองค์นั้นเมื่อบังเกิดขึ้น
แล้วทยอยดับจนหมดสิ้น ใช้เวลาเป็นแสนกัป รอจนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมาใหม่ในโลก
แสงสว่างแห่งธรรมนี้ ไม่มีมนุษย์หรือเทพหรือพระพรหมองค์ใดจะกระทำได้
มีแต่เพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงทำให้บังเกิดขึ้นได้
เปรียบเทียบอายุในอเวจีนรก
1 ปทุมนรก กับมนุษย์โลกได้ ดังมีในพระไตรปิฏกดังนี้
เมล็ดงา
1 เกวียน มีอัตรา 20 ขารี 1 ขารีเท่ากับ 256 ทะนาน เมื่อล่วงไป 1 แสนปีเอาเมล็ดงาออกจากเกวียน 1 เมล็ดทำจนหมดจากเกวียน
ก็ยังไม่ถึง 1 อัพพุทะในนรกเลย การเปรียบเทียบ 1 อัพพุทะ ตามมาตรตราปัจจุบันอย่างคล่าวๆ
1 ทะนาน เท่ากับ 1 ลิตร
1 ลิตร เท่ากับ 1000 ลูกบาศเชนติเมตร
เมล็ดงา 1 เมล็ด ประมาณ 1 มิลิเมตร ดังนั้น 1 เชนติเมตร
เอาเมล็ดงาเรียงกันได้ 10
เมล็ด
จะได้ 1 ลูกบาศเชนติเมตร จะมีจำนวน
เมล็ดงา ประมาณ 10
X10 X 10 = 1000
เมล็ด
จะได้ 1 ลิตรมีเมล็ดงาประมาณ 1000X1000 ประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ทะนานจะมีเมล็ดงาประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ขารีจะมีเมล็ดงาประมาน 256 X 1,000,000 ประมาณ 256,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 เกวียนจะมีเมล็ดงาประมาณ 20 X 256,000,000 ประมาณ 5,120,000,000 เมล็ด
จะได้เวลาทั้งหมดเมื่อหยิบเมล็ดงาออกหมดเกวียน
ประมาณ 100,000
X 5120,000,000 ปี
ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี
ซึ่งยังไม่ถึง 1 อัพพุทะ แต่ก็ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี หรือ 5.12 X 10**14
จึงเอาไปแทนค่าตามข้างล่าง
20 อัพพุทะ เป็น 1 นิรัพพุทะ 20**1 X 5.12 X
10**14
20 นิรัพพุทะเป็น 1 อพัพพะ 20**2 X 5.12 X 10**14
20 อพัพพะเป็น 1 อหหะ 20**3 X 5.12 X
10**14
20 อหหะเป็น 1 อฏฏะ 20**4 X 5.12 X
10**14
20 อฏฏะเป็น 1 กุมุทะ 20**5 X 5.12 X
10**14
20 กุมุทะเป็น 1 โสคันธิกะ 20**6 X 5.12 X 10**14
20 โสคันธิกะเป็น 1 อุปปละ 20**7 X 5.12 X 10**14
20 อุปปละเป็น 1 ปุณฑริกะ 20**8 X 5.12 X 10**14
20 ปุณฑริกะเป็น 1 ปทุมะ 20**9 X 5.12 X
10**14
และ 20**9 =
512,000,000,000 = 5.12 X 10**11
ดังนั้น 1 ปทุมะนรก ประมาณ 5.12 X
10**11 X 5.12 X 10**14 ประมาณ
26.2144 X 10**25
ประมาณ 2.62 X
10**26 หรือ 1 ปทุมะนรก ประมาณ 262,144,000,000,000,000,000,000,000
ปีมนุษย์โลก
เมื่อเปรียบเทียบปีมนุษย์ กับ 1 ปทุมะนรก
และปีของมนุษย์กับ 1
กัป ดังที่คำนวณมาแล้ว จะเห็นว่า
มีเวลายาวนานมาก ดังนั้นในตำราของพระพุทธศาสนาจึงกล่าวว่า ผู้ที่ตกนรกอเวจี ต้องทรมานอยู่ตลอดกัป
หรือชั่วกัปชั่วกัลป์ เหมือนดังพระเทวทัต ที่ตกอเวจีนรก และจะหมดกรรมจากอเวจีนรกก็เกือบจะสิ้นสุดของกัปนี้
ทังหมดนี้คงจะทำให้ท่านปลงสังเวช กับความโง่ หรือ อวิชชา
ที่หาเบื้องต้นไม่ได้ ถ้ายังไม่ชำละอวิชชาออกไปด้วยปัญญา
นิพพาน ก็ไม่รู้ว่าจะหาที่สุดได้เมื่อใด?
หมายเหตุ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้
ได้วิเคราะห์และเขียนเก็บไว้เมื่อปีที่แล้วนี้เอง เป็นช่วงพักกรรมฐาน
ความจริงแล้วมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ก็คัดมาเฉพาะเท่านั้น