คำนำ
                          
เรื่องที่เขียนเป็นเรื่องที่วิเคราะห์ ที่ดึงมาจากความจำและประสบการณ์ ที่ได้อ่านมาแล้วจำมา จะไม่มีหนังสืออ้างอิงเขียนตามความเข้าใจของตนเอง อาจถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดาให้ใช้วิจารญาณในการอ่าน
 

                                                           ท่องไปในไตรภพ
      
ไตรภพคือ ภพทั้ง 3 มีกล่าวในพุทธศาสนา ภพทั้ง 3 อยู่ในจักรวาลๆ  หนึ่ง ภพทั้ง 3 คือ
                        1 
ภพนรก
                        2. 
ภพโลกมนุษย์
                        3.
ภพสวรรค์เทพเทวดา
           
ภพทั้ง 3 นั้นจะมีการกล่าวต่อไปดังบทความข้างล่าง

                                                  ท่องไปดินแดนมนุษย์
                
ดินแดนมนุษย์เป็นดินแดนที่มีรูปหยาบ มนุษย์อาศัยอยู่บนผิวก้อนดินกลมๆ เรียกว่าโลก มีน้ำ มีอากาศ มีต้นไม้ มีสัตว์เดรัชฉาน อยู่บนผิวโลก สิ่งมีชีวิตในโลก อาศัยแสงสว่างจากดวงไฟ ที่ก้อนดินหรือโลกหมุนรอบลูกไฟนั้น ลูกไฟนั้นคือดวงอาทิตย์ ความจริงแล้ว โลกที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เหมือนมนุษย์ สัตว์เดรัชฉาน หรือต้นไม้ ในจักรวาลนี้มีอยู่หลายก้อนดิน แต่เมื่อเปรียบเทียบระยะระหว่างก้อนดินทีมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่นั้น กับมนุษย์โลก นั้นมันชั่งห่างไกลกันมากๆ จนไม่สามารถดินทางธรรมดาไปถึงกันได้
               
จะมากล่าวถึงมนุษย์โลกในสุริยะจักรวาลนี้เพียงโลกเดียว ที่พระพุทธเจ้าสามารถอุบัติขึ้นได้เพราะมนุษย์โลกนี้ ในบางช่วงบางโอกาส สามารถพัฒนาจิดใจรับรสพระธรรม   เข้าใจในธรรมแตกฉานจนหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่น ถึงอมตะนิพพานได้ และอายุขัยของมนุษย์แต่ละช่วงแต่ละยุกต์   ก็ไม่เท่า อายุขัยของมนุษย์ช่วงที่น้อยที่สุดคือ 10 ปี อายุขัยของมนุษย์ช่วงที่มากที่สุด  ก็มากมายเสียเหลือเกิน  มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีอายุขัยอยู่ในช่วง 75 ถึง 100 ปี กล่าวถึงในภาพรวมของมนุษย์โลกใบนี้ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา รู้จักคิด รู้จักเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร รู้จักสร้างปัจจัย 4 ให้กับตนเอง คือ
                    1  
ที่อยู่อาศัย
                    2  
อาหาร
                    3  
เคื่รองนุงห่ม
                    4  
ยารักษาโรค
               
ด้วยความที่มีสติปัญญามนุษย์สามารถสร้างปัจจัย 4 ได้วิจิตรพิศดาร ด้วยการวิเคราะห์ศึกษาร่วมกันสืบต่อกันมา มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคม คือเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ปู ยา ตา ยาย แล้วรวมกันเป็นหมู่บ้าน เป็นเมืองขึ้นมา มนุษย์สามารถสร้างดัดแปลงสิ่งแวดล้อมต่างๆ    เป็นระบบ   เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ และป้องกันตนเองได้ มนุษย์ไม่เบียดเบียนกันเองจนโหดร้ายจนทำลายล้างกันทั้งหมด    ด้วยความมีสติปัญญาของมนุษย์   มนุษย์จึงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งบันเทิง สิ่งที่สร้างความสนุกความสุขได้อย่างมากมาย โดยใช้การแลกเปลี่ยนซึ่งกันละกันด้วยสิ่งของ และพัฒนาเป็นเงินตรา ไว้เพื่อการแลกเปลี่ยนเพื่อปัจจัย 4 และแสวงหาความสะดวกความสุขและความพึงพอใจตามยุคตามสมัย  ถึงแม้มนุษย์จะเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่มีรูปร่างเล็กใหญ่ผิวพรรณแตกต่างกันบ้าง   ตามเผ่าพันธุ์ของมนุษย์นั้น แม้แต่ในความเป็นอยู่ของหมู่มวลมนุษย์เอง  ก็มีความแตกต่างกัน  และเลื่อมล้ำกันมากมาย  ตามภูมิประเทศและตามสังคมของมนุษย์   มนุษย์จึงแบ่งเป็นวรรณะ ได้แก่  กษัตริย์  พราหมณ์ แพทย์  และ ทาส   หรือเป็นชนชั้นคือ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นต่ำ  หรือเป็นชาวป่าเถื่อนที่ไม่มีวัฒนธรรม   และชาวเมืองที่สีวิไล
           
ดังนั้นมนุษย์หาได้มีความสุขเสมอเหมือนกันไม่ ส่วนการหาเลี้ยงชีพของมนุษย์ก็ต่างกันแบ่งเป็นอาชีพ คือ กรรมกร การเกษตร การค้าขาย  การใช้วิชาความรู้ การวิเคราะห์หาความรู้ การบริหารละการปกครอง และมนุษย์มีภัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ  การแก่  การเจ็บ และการตาย มนุษย์ทุกผู้ทุกคนเมื่อเกิดมา ก็ต้องแสวงหาความสะดวก  และความสุข    ดังนั้นมนุษย์จึงมีการชิงดีชิงเด่นกันและกัน เบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน ฆ่าฟันกัน เป็นครั้งเป็นคราว   จึงบังเกิดมีมนุษย์ชั่วมนุษย์ดี   และมีที่กักขังมนุษย์กันเอง   มีการทำโทษกันตามกฏบัญญัติของมนุษย์     แต่มนุษย์เบียดเบียนสัตว์เดรัชฉานเป็นอาจิณ เพื่อ  เป็นอาหาร เครื่องนุงห่ม ยารักษาโรค เพื่อความสะดวกและความบันเทิงความพึ่งพอใจ  บางครั้งมนุษย์เบียดเบียนธรรมชาติที่แวดล้อมตนเอง
           
มนุษย์หาได้มีร่างกายสมบูรณ์เหมือนกันทั้งหมด มีบางส่วนก็พิกลพิการมาแต่กำเนิด บางส่วนพิกลพิการจากโรคภัยต่างๆ  บางส่วนเป็นบ้ามีสติไม่สมประกอบ  เนื่องด้วยมนุษย์แสวงหาความสะดวกความสุขและความสนุกเพลิดเพลินตามความเพิ่งพอใจ จึงมีมนุษย์บางส่วน กระทำการ
            
       1. ฆ่าสัตว์ฆ่ามนุษย์กันเอง
                   2.  ลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น
                   3.  ด่าว่ากันด้วยคำหยาบคายด้วยคำที่ไม่เป็น ความ จริง  และโกหกหลอกลวงกัน
                   4.  ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น
                   5.   ดื่มหรือเสพของมึนเมา
       
เนื่องจากสภาพต่างๆ ที่กล่าวมา  ทำให้มนุษย์ระคนกันอยู่ทั้งสุขและทุกข์   แต่ภาพโดยรวมของมนุษย์เป็นภพภูมิที่เป็นสุขเสียมากกว่า จึงเรียกว่า สุขคติภูมิชั้นแรก

               วิเคราะห์เทียบมนุษย์และโลกทางวิทยาศาสตร์แนวคิดปัจจุบัน กับพุทธศาสนา
           
พุทธศาสนา เรียกสิ่งที่มีจิตเหมือนมนุษย์หรือสัตว์ว่า   สัตว์
           
วิทยาศาสตร์ เรียกสิ่งที่มีทางกายภาพเหมือนมนุษย์หรือสัตว์ หรือมีโครงสร้างของเซลล์คล้ายกันว่า   สิ่งมีชีวิต
           
  คำว่าสัตว์ในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็นดังนี้
    1.
รูปกายละเอียด ที่สายตามนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น ได้แก่ พรหม เทพเทวดา เปรต อสุรกาย  และสัตว์นรก
    2.
รูปกายหยาบ ที่สายตามนุษย์เห็นได้ได้แก่ สัตว์เดรัชฉาน และมนุษย์ด้วยกันเอง
            
ดังนั้นความว่า สัตว์ของพระพุทธศาสนา กับสิ่งมีชีวิต ตามความหมายทางวิทยาศาสตร์ มีความหมายเหมือนกันเพียงส่วนเดียว คือมนุษย์และสัตว์ ที่มีรูปกายหยาบในความหมายทางพุทธ
            
มนุษย์ในทางพุทธศาสนาคือ  สัตว์รูปกายหยาบ  ที่มีสติปัญญา  ลำตัวตั้งตรงเดินด้วยสองเท้า  มีสองมือ แต่สามารถคลานแบบ 4 เท้าได้ ส่วนสัตว์เดรัชฉานเป็นสัตว์ที่  ไม่มีปัญญา เดินด้วย 4 เท้า หรือ 2 เท้า  หรือไม่มีมือมีเท้า หรือมีหลายเท้า มนุษย์และสัตว์เดรัชฉานบังเกิดขึ้นมานานแล้ว ทั้งแต่เริ่มบังเกิด โลกซึ่งเรียกร่วมกันว่าสัตว์  ทั้งสัตว์เดรัชฉานและมนุษย์ในยุดนั้นมีลักษณ์คล้ายกันหมด   เมื่อโลกพัฒนาขึ้น มนุษย์ และสัตว์เดรัชฉาน  ก็เริ่มแยกออกจากกันชัดเจนขึ้น เพราะสัตว์เดรัชฉานนั้น  มีการพัฒนาทางรูปกาย และอายุขัยเพียงอย่างเดียว  ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างหรืออายุยืนบ้างสั้นบ้างตามยุกตามสมัย  ส่วนมนุษย์นั้น  มีการพัฒนาทั้งรูปกาย  อายุและ  สติปัญญา กายมีขนาดเล็กลงหรือใหญ่ขึ้น อายุน้อยลงหรือมากขึ้น และสติปัญญาน้อย  หรือสติปัญญามาก  เป็นไปตามยุกต์ตามสมัย เป็นไปตามรอบของโลก
           
ยามใดที่สติปัญญาของมนุษย์พัฒนาสูงขึ้น รูปกายและความเป็นอยู่ของมนุษย์ จะมีความแตกต่างกับสัตว์เดรัชฉานมาก  แต่ยามใดที่สติปัญญาของมนุษย์พัฒนาถอยลง  หรือต่ำลง  รูปกายและความเป็นอยู่แทบ  จะไม่ต่างกับสัตว์เดรัชฉานจนแยกกันได้ยาก ดังนั้นความแตกต่างของมนุษย์กับสัตว์เดรัชฉาน  ในพุทธศาสนาแตกต่างอยู่ที่สติปัญญา ส่วนรูปกาย  นั้นพระพุทธศาสนาไม่ให้ความสนใจมาก   เพราะ ถือว่าเป็นกายหยาบเหมือนกัน แต่พระพุทธศาสนานั้น   ได้กล่าวถึงรูปกายและอายุขัยของมนุษย์   ในแต่ละยุกต์รูปร่างเล็กใหญ่ต่างกันและอายุมากและน้อยต่างกัน
           
ดังมีข้อความประมาณในตำราพุทธศาสนาว่า  เมื่อเริ่มกำเนิดโลกขึ้นมาใหม่ก็มีสัตว์บังเกิดขึ้น (สัตว์ในที่นี้รวมทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัชฉาน) นั้นมีอายุยืนยาวจนนับจำนวนปีไม่ถ้วน   แล้วสัตว์เหล่านั้นมีอายุขัยน้อยลง คือเมื่อครบ 100 ปีอายุขัยของสัตว์(โดยเฉพาะมนุษย์) ลดลง 1 ปี  ซึ่งอายุขัยจะลดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ   และรูปร่างก็เล็กลงเรื่อย จนอายุขัยของมนุษย์เหลือ 10 ปี จึงมีการฆ่าฟันทำร้ายกันเองจนเหลือมนุษย์อยู่น้อย    หลังจากนั้นอายุขัยของมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อครบ 100 ปีเพิ่มขึ้น 1 ปี ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นแสนแสนปี   แล้วจึงลดลงมาอีกเป็นอย่างนี้เป็นรอบๆ ไป   และในช่วงที่อายุขัยของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น สติปัญญาและศีลธรรมของมนุษย์ พัฒนาสูงบ้างต่ำบ้างไม่เหมือนกัน เมื่อพัฒนาปัญญาและศีลธรรมสูง ก็มีความเป็นอยู่ก็ต่างจากสัตว์เดรัชฉาน  แต่ถ้าพัฒนาต่ำลงความเป็นอยู่ก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัชฉาน เพราะมนุษย์บางยุกต์มีศีลธรรมมากปัญญาก็มากดังยุกต์ปัจจุบัน  และบางยุกต์ศีลธรรมถดถอยจนแทบไม่มี ปัญญาจึงน้อยลงเกือบพอๆ กับสัตว์เดรัชฉานมีสภาพคล้ายสัตว์ป่า จึงมีสภาพทางกายเหมือนหรือเกือบจะเหมือนกับสัตว์ป่า  รวมทั้งการดำรงค์ชีพความเป็นอยู่ก็แยกกันเกือบไม่ได้ และจำนวนมนุษย์ในแต่ละยุกต์แต่สมัยก็มีไม่เท่ากัน บางยุกต์มีน้อยมากแทบจะหาไม่ได้ในโลก บางยุกต์มีมากมายจนฆ่ากันเองดังสัตว์ป่าไม่มีพี่ไม่มีน้อง
           
สิ่งที่ทำให้มนุษย์และสัตว์โลกมีน้อยในบางยุกต์เพราะ
        1.
รบร่าฆ่าฟันกันเอง
        2.
โดนโรคทำลาย
        3.
โดนการแห้งแล้งขาดอาหารทำลาย ทำให้สัตว์และมนุษย์มีน้อย  แล้วจึงค่อยพัฒนาทั้งรูปร่างและสติปัญญาขึ้นมาใหม่
       
การที่สัตว์โดนทำลาย เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นส่วนๆ ในโลก หาได้เหมือนกับตอนที่จะสิ้นกัป  เมื่อโลกและจักรวาลโดนทำลายจนเป็นจุล
        
มนุษย์และการพัฒนาของมนุษย์ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์ประมาณว่า มนุษย์ที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายมนุษย์ปัจจุบัน เพิ่งจะมีประมาณ ล้านกว่าปีมานี้เอง  จากการขุดซากกระดูกหรือซากศพมาเปรียบเทียบ และมนุษย์ได้พัฒนามาจากลิง จนพัฒนาเป็นมนุษย์ที่เจริญขึ้นทางสติปัญญาและวิชาการในยุกต์ปัจจุบัน ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ก่อนหน้าล้านกว่าปีนั้น    ว่ามีมนุษย์หรือเปล่า เพราะค้นพบแต่เพียงซากสัตว์อย่างเดียว   และทางวิทยาศาสตร์ตั้งสมติฐานว่า สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกที่เกิดในโลกเป็นสัตว์เซลล์เดียวและพืชเซลล์เดียว การเกิดนั้นเกิดจากสารเคมีที่สะสมในทะเลด้วยความเหมาะเจาะบวกกับการสป๊ากของไฟฟ้า  จึงบังเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตเป็นสัตว์เซลล์เดียว เมื่อประมาน สองพันหรือสามพันล้านปีมาแล้ว แล้วพัฒนาเป็นสัตว์หลายเซลล์และพืชหลายเซลล์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ แล้วพัฒนาเป็นสัตว์รูปร่างต่างๆ กันตามสภาพแวดล้อม แล้วมาพัฒนาขึ้นบนบกเป็นสัตว์ต่างๆ ขึ้นมา และพัฒนารูปร่างต่างๆ มาเรื่อยจนเพิ่งบังเกิดมีมนุษย์เมื่อล้านกว่าปีมานี้เอง  จะเห็นว่าการพิสูจน์และสมติฐานของวิทยาศาสตร์กับการกล่าวถึงของพุทธศาสนานั้น  มีส่วนแตกต่างกันอย่างมาก แต่สามารถตีได้ 3 ประเด็น
     1.
ถ้าถือเอาวิทยาศาสตร์เป็นหลัก การกล่าวถึงมนุษย์และสัตว์ทางพุทธศาสนานั้นมีส่วนไม่ถูกต้องอย่างมากๆ
     2.
ถ้าเชื่อถือตามพุทธศาสนา โดยไม่วิเคราะห์ให้ละเอียด ก็จะไม่สนใจหรือไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์
     3. 
ถ้าเอาพุทธศาสนาเป็นหลักและเอาวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ตาม ก็จะเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูง  เมื่อตั้งสมติฐานว่า พระพุทธศาสนากล่าวถึงโลกโดยรวมเหมือนดังน้ำในมหาสมุทร แต่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์หาหลักฐานได้เหมือน  น้ำที่ปากแม่น้ำเพียงแห่งหนึ่งแห่งเดียว ซึ่งเปรียบเทียบได้ดังนี้
    ***
พระพุทธศาสนา คำว่า สัตว์ ร่วมมนุษย์ สัตว์ พรหม เทวดา เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก ที่เป็นรูปกายหยาบและรูปกายละเอียด
 
วิทยาศาสตร์ คำว่า สัตว์โลก หมายถึงมนุษย์และสัตว์ต่างๆ ทั้งเซลล์เดียวและหลายเซลล์ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตามนุษย์ หรือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
     
** ส่วนนี้จึงไม่ขัดแย้งกัน
    ***
พุทธศาสนา กล่าวว่า สัตว์(มนุษย์และสัตว์)เกิดขึ้นเองเมื่อเหมาะสม เมื่อโลกก่อตัวเป็นโลกสมบูรณ์
 
วิทยาศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเองด้วยสารเคมีและไฟฟ้าในน้ำ เมื่อโลกเกิดขึ้นได้ระยะหนึ่งที่เหมาะสม
     
** ส่วนนี้จึงไม่ขัดแย้งกัน
    ***
พุทธศาสนากล่าวว่า มนุษย์มีการพัฒนาทั้งทางร่างกายและศีลธรรมปัญญา เป็นยุกต์หรือขึ้นๆ ลงๆ บางสมัยมนุษย์พัฒนาต่างจากสัตว์มากทั้งร่างกายและศีลธรรมปัญญา แต่บางสมัยมนุษย์ขาดศีลธรรมและปัญญาถอยจนมีสภาพไม่ต่างจากสัตว์
 
วิทยาศาสตร์ กล่าวว่าสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ พึงมีประมาณล้านกว่าปีระยะแรกมีความเป็นอยู่คล้ายสัตว์ แล้วค่อยพัฒนาตีขึ้นมาเป็นยุกต์ๆ เรื่อยมาจนเป็นมนุษย์ปัจจุบัน
      
  ** ส่วนนี้จึงไม่ขัดแย้งกัน
    *** 
พระพุทธศาสนากล่าวว่า โลกนี้เกิดมานานแสนนานแล้วจนนับจำนวนปีไม่ถ้วน คือตั้งแต่โลกนี้ยังเป็นวัตถุที่ละเอียดเป็นของเหลว และสัตว์(มนุษย์โลกละสัตว์เดรัชฉาน) ยังมีกายที่ละเอียดล่องลอยอยู่ในอากาศ หาได้อาศัยบนผิวโลก เมื่อโลกเริ่มเย็นพอที่จะอาศัยได้ สัตว์เหล่านั้นก็ลงมาเกิดเองเป็นกายที่หยาบขึ้น
 
วิทยาศาสตร์กว่าว่า โลกนี้เป็นก้อนวัตถุที่แข็งประมาณ สองพันหรือสามพันล้านปี จากการตรวจสอบอายุของก้อนหินที่แข็งตัว แต่ไม่สามารถพิสูจน์อายุของก้อนหินก่อนสภาพที่จะเป็นหิน ซึ่งอาจเป็นสภาพอื่นที่สลายจากก่อนหนิเก่ามาเป็นก่อนหินใหม่หลายร้อยหรือหลายพันรอบมาแล้วก็ได้ เพราะผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยอย่างช้าๆ จากหินเหลวระยะเกิดโลกตอนต้นแล้วก็เป็นหินแข็งบนผิวโลก หลังจากนั้นก็ยุบตัวลงอย่างช้าๆ ลงใต้ผิวโลกกลายเป็นลาวาแล้วถูกดันขึ้นมาบนผิวโลกเย็นตัวลงเป็นหินแข็ง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบหินที่แข็งบนโลกที่มีอายุมากที่สุด ประมาณสองหรือสามพันล้านปีเท่านั้น ซึ่งอาจมีหินที่แข็งแต่เกิดก่อนหน้านี้ก็ได้ถ้าไม่เป็นลาวาและกลายเป็นดินไปเสียก่อน ที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาไม่เจอ
          
  ** ส่วนนี้จึงยังไม่ขัดแย้งกันทั้งหมด

                                          ท่องไปแดนสวรรค์จาตุเทวะภูมิ
      
จาตุเทวะภูมิ  เป็นภพภูมีที่มีรูปที่ละเอียดกว่าโลกมนุษย์มากมายนัก คือมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในจาตุเทวะภูมิได้ และสิ่งที่มีจิตใจเหมือนมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในจาตุเทวะภูมิเรียกว่า เทพเทวดา  ภพของจาตุเทวะภูมิกว้างใหญ่กว่าโลกมนุษย์มากมายหนักหนา และโลกของมนุษย์ติดอยู่ในส่วนหนึ่งที่เป็นเพียงนิดเดียวของภพจาตุเทวะภูมิ ถ้าจะเปรียบเทียบขนาดของโลกมนุษย์เท่ากับก้อนหินเท่ากำมือ แต่ขนาดของจาตุภูมิยังโตกว่าภูเขาใหญ่เสียอีก
          
  สามารถแบ่งประเภทใหญ่ๆ ของเทวดาจาตุได้ดังนี้
   
1 เทวดาที่อาศัยอยู่บนผิวของโลกวัตถุหยาบ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นโลกมนุษย์นี้เท่านั้นเพราะก้อนดินที่เหมือนโลกเรานี้  ได้แก่ดวงดาวมีมากมายในจักรวาล  และ
   
2. เทวดาที่อาศัยอยู่ในอากาศ  คือที่ไม่ได้อยู่ตามผิวของโลกวัตถุหยาบ แต่อยู่ในอากาศล้อมรอบโลกวัตถุ และเฉพาะในอากาศ   หรืออาวกาศล้อมโลกมนุษย์เรานี้   มีเทพเทวดาอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เนื่องจากใกล้แหล่งบุญกุศลที่ตนเองได้เคยสร้างไว้
     
มากล่าวถึงเรื่องจักวาล ในจักรวาลหนึ่งหมายถึงกลุ่มก้อนดินหรือดวงไฟ (หมายถึง 1 กาแลคชี่) หลายๆ กลุ่มรวมกันเป็น 1 จักรวาล และจักรวาลทั้งหมดที่มีอยู่นั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน กล่าวรวมๆ กันว่า สากลจักรวาล ซึ่งหามีที่สิ้นสุดไม่ และจักรวลแต่ละจักรวาล  ก็มีไตรภพเหมือนกับจักรวาลที่โลกมนุษย์เรานี้อยู่
       
มากล่าวถึงจาตุภูมิ คือเป็นภพแรกสุดของสวรรค์ ของจักรวาลนี้   มีพื้นที่คลุ่มไปทั่ว และตรงกลางภพของจาตุภูมิจะมีภูเขาที่สูงใหญมากๆ คลุมพื้นที่ส่วนหนึ่งของจักวาล ตั้งอยู่บนแกนกลางของจักรวาล    เรียกว่าภูเขาสิเนรุ เป็นภูเขารูปที่ละเอียดเกินที่สายตามนุษย์ และกายมนุษย์ธรรมดาไปสัมผัสได้  แต่เป็นที่สิ่งสถิตอยู่ของเหล่าเทพเทวดาชั้นจาตุ ดังนั้นเทวดาชั้นจาตุจึงอาศัยอยู่ตั้งแต่เชิงเขาจนถึงบนภูเขาสิเนรุ และลอยอยู่ในอากาศ ระหว่างยอดเขากับเชิงเขา ในอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ของชั้นจาตุนี้ หาได้มีเทวดาอยู่ทั่วทุกพื้นที่ แต่จะอยู่เป็นกลุ่มเหมือนมนุษย์โลก ส่วนที่เหลือก็เป็นทุรกันดาร ไม่เป็นที่นิยมของการจุติของเหล่าเทพเทวดา เช่นพื้นที่ป่าหิมพานต์ มหาสมุทรศรีทันดร และที่ว่างเปล่าอีกมากมาย และทุกที่ในภิพภจาตุเทพเทวดาชั้นจาตุสามารถไปได้ทุกที่ทั้งจักรวาลของภพจาตุ   ยกเว้นที่เป็นที่หวงห้ามหรือเป็นที่เฉพาะของเทพท่านอื่น
     
กล่าวถึงสภาพของเทวดาชั้นจาตุนั้นเป็นทิพย์   คือเมื่อจุติหรือเกิดก็จะเป็นหนุ่มเป็นสาวทันทีพร้อมทั้งเครื่องนุ่งห่มที่เป็นทิพย์ หรือที่อยู่อาศัยเรียกว่าวิมานที่เป็นทิพย์  มีรูปร่างผิวพรรณสวยงาม มีรัศมีออกจากกาย เหาะเหินเดินอากาศได้ และเนรมิตสิ่งต่างๆ ได้ตามกำลังของตนเอง    ต่อไปจะกล่าวถึงส่วนประกอบของเทวดา
        
รูปร่าง มีผิวพรรณที่สวยงาม มีรัศมีออกจากกาย เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอด ไม่มีแก่ไม่มีเจ็บ มีกายสูงใหญ่ไม่เท่ากัน บางประเภทมีกายเล็กเท่าใบหญ้า บางประเภทมีกายสูงใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าโลกมนุษย์หลายเท่าเสียอีก บางประเภทมีรูปกายปกติเป็นสัตว์ ได้แก่พระยานาค พระยาครุฑ    อ่านเรื่องพระยาครุฑและพระยานาคเพิ่มเติม    บางประเภทมีกายปกติเป็นยักษ์  แต่สามารถเดรมิตกายให้สวยงามได้ เหล่าเทวดาไม่ว่ากายปกติจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหน   ก็สามารถเนรมิตกายให้เล็กมากๆ    อยู่รวมกันเท่าปลายเข็มได้เป็น ร้อยเป็นพันองค์ได้อย่างสบาย   หาได้เบียดเสียดกันไม่   และเทวดาทุกท่านต่างก็มีหูทิพย์ตาทิพย์ ตามกำลังบุญกุศลของท่าน
 
เครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งกายของเทวดาเป็นทิพย์บังเกิดขึ้นเอง  ซึ่งมีความวิเศษแตกต่างกันตามบุญกุศลที่ทำมา แต่สามารถนิรมิต  ให้เป็นรูปต่างๆ กันได้ และเวลาปกติก็จะกลับเป็นแบบเดิมตามบุญที่สร้างสมมา
        
รัศมีออกจากกาย  ภพของเทพเทวดาหาได้อาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไม่ เพราะเป็นคนละรูปกัน แต่ภพของเทพเทวดาอาศัยแสงสว่างจากกาย   และจากสิ่งที่เป็นทิพย์นั้นและมองเห็นซึ่งกันและกัน ดังนั้นเทวดาบางองค์ก็มีรัศมีสวยสดงดงามมีแสงสีต่างๆ   แผ่กระจายได้ไกลเป็นอย่างยิ่ง  แต่บางองค์ก็มีรัศมีน้อยมาก ตามกำลังบุญกุศล
        
อาหารของเหล่าเทพเทวดา ก็จะเป็นทิพย์  มีรสชาติเป็นเลิศ เทวดาแต่ละท่าน   ก็มีอาหารตามแต่ละท่านไม่เหมือนกันตามบุญตามกุศล  แต่สามารถแลกเปลี่ยนชิมรสหรือให้ผู้อื่นได้   เทวดาต้องรับทานอาหารทุกวันเหมือนดังมนุษย์โลก แต่อย่างน้อยวันละครั้งเพียงแต่ตะปลายลิ้นก็พอ    ถ้าเทพเทวดาองค์ใด  ลืมรับทานอาหาร จะทำให้รัศมีเศร้าหมอง ถ้าเป็นเวลานานก็จะจุติหรือตายได้ เทวดาได้อาหารมาจากการนึกเนรมิตขึ้นมา  อาหารก็จะปรากฏตรงหน้ารับทานได้ทันที่ โดยไม่ลำบาก
        
โรคภัยไข้เจ็บ เทพเทวดานั้นหาได้มีโรคภัยไข้เจ็บไม่ จึงไม่จำเป็นต้องมียุกยา มีกายที่อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา มีกายที่สัมผัสที่อ่อนนุ่มเป็นปีติสุข สิ่งที่เป็นที่เกรงกลัวของเทวดาคือ   อำนาจที่ทำให้ตกใจกลัวจนสั่นผวา จนไม่สามารถต่อกรได้
          
ที่อยู่อาศัยของเทวดาเรียกว่า วิมาน ซึ่งเป็นทิพย์บังเกิดขึ้นได้เพราะบุญกุศลของเทวดาท่านนั้นๆ ทิพย์วิมานมีรัศมีสวยงามตามกำลังของบุญกุศลของเทวดาผู้เป็นเจ้าของ แบ่งเป็นวิมานเงิน วิมานทอง  และวิมานแก้ว และเทวดาแต่ละองค์ก็หาได้มีวิมานเป็นของตนเองทุกองค์ไม่
            
เทพเทวดาแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้คือ  เทวาดาผู้ปกครอง กับเทวดาทั่วไป   สถานะของเทวดานั้นแตกต่างกันไป   ถ้าเทวดาที่จุติบังเกิดมีวิมานเป็นของตนเอง ก็ไม่ต้องไปอาศัยผู้ใด  แต่ถ้าเทวดาผู้ใดไม่มีวิมานของตนเอง แต่จุติในวิมานของผู้อื่น  เช่นจุติในสวนในวิมานหนึ่งก็ต้องคอยดูแลสวน  คือต้องเนรมิตให้สวยสดงดงามให้ต้องตาต้องใจตามความสามารถ แต่ก็หาใช่ต้องทำงานเป็นคนสวนเหมือนมนุษย์โลก    เพราะลักษณะงานต่างกันราวฟ้ากับดิน  ถ้าจุติในห้องรับแขก   ก็ดูแลห้องรับแขกเนรมิตให้สวยสดงดงาม  หมายความว่าเทวดาที่จุติส่วนไหนของวิมาน   ก็ต้องมีหน้าที่ดูแลและเนรมิตส่านนั้นให้สวยสดงดงาม    ถ้าเทพเทวดาจุติในบริเวณห้องที่บรรทม(เทวดาไม่มีการนอนหลับ) ก็ต้องเป็นเทวดาที่ต้องคอยรับใช้อำนวยความสะดวกให้เทวดาผู้เป็นใหญ่ในวิมาน    ถ้าเทพเทวดาที่จุติบนที่บรรทมของเทวดาผู้เป็นใหญ่ และต้องมีเพศตรงกันข้ามก็มีหน้าที่ปรนนิบัติเยียงสามีภรรยา    แต่ถ้าจุติปลายเท้าเทวดาผู้เป็นใหญ่ในวิมาน ก็จะมีฐานะเป็นบุตร ถ้าเทวดาองค์ใดจุติระหว่างเส้นแบ่งเขตวิมาน   ถ้าหันหน้าทางวิมานท่านใดก็ต้องเป็นบริวารของท่านนั้น แต่ถ้าไม่หันหน้าไปทางวิมานทั้งสอง    เทวดาผู้ปกครองก็จะเอาไปเป็นบริวารของตนเอง   เพื่อไม่ให้เกิดข้อพิพาทกัน  เทวดาชั้นจาตุนั้นมีเพศสัมพันธ์คล้ายกับมนุษย์   ดังนั้นเทวดาและเทพธิดามีความต้องใจกันและรักใคร่กัน เมื่อไม่มีอุปสรรคใดขัดขว้าง ก็จะอยู่กันฉันสามีภรรยา ตามวาสนาบารมี   และในวิมานนั้นเทวดาหรือเทพธิดาทุกองค์ก็จะมีที่เฉพาะของแต่ละท่าน หาได้ปนกันไม่
 
การจุติการตายของเทพเทวดา เทวดานั้นมีสถานะ 2 อย่างคือ  เกิดกับตายเท่านั้น ไม่มีการแก่ การเจ็บ การตายของเทวดามีได้ดังนี้
         1.
จุติตามอายุขัย อายุขัยของเทวดาจาตุ 500 ปีทิพย์ หรือ ประมาน 9 ล้านปีโลกมนุษย์
         2.
จุติเพราะหมดบุญ ที่สร้างสมมา
        3.
จุติทั้งคู่เพราะเข้าทำร้ายกันด้วยความโกรธไม่ยั้งคิดทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าผ่ายหนึ่งโกรธแต่อีก   ผ่ายหนึ่งไม่โกรธหรือยั้งคิดได้ ก็จะไม่ทำร้ายกันด้วยฤทธิ์ที่เป็นเหตุให้จุติทั้งคู่ เพราะ   ฤทธิ์เพียงฝ่ายเดียวของผู้ที่มีความโกรธไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายจุติหรือตายได้
        4.
จุติเพราะไม่ได้บริโภคอาหาร เนื่องจากเพลิดเพลินเสพสุขจนลืมวันคืนที่จะบริโภค     อาหาร จะเห็นว่าขนาดแค่ภพ  ของเทวดาชั้นจาตุเท่านั้น ก็มีความมีความวิเศษพิศดารมากนักมีสุขยิ่งกว่าโลกมนุษย์ไหนๆ  การปกครองของเทวดาชั้นจาตุ แบ่งการปกครองออกเป็น 4 ทิศ ก็จะมีเทพที่เป็นใหญ่ที่สุดในชั้นจาตุ 4 องค์ คือท้าวโลกบาลทั้ง 4

                  มากล่าวถึงเทพชั้นจาตุที่ใก้ลชิตกับมนุษย์โลก
       
1.รุกขเทวดา  หรือเรียกอีกชื่อว่า ภูมเทวดา ได้แก่เทวดาที่สิ่งสถิตหรือสร้างวิมาน อยู่ในโลกวัตถุ  แต่เมื่อวัตถุนั้นโดนทำลายท่านก็หาไม่จุติตามไปด้วย แต่ต้องหาที่สิ่งสถิตใหม่ ดังนั้นการทำลายของมนุษย์ก็หาได้เป็นอันตรายต่อรุกขเทวดาไม่ ยกเว้นรุกขเทวดาเข้าไปขัดขวางและโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ รุกขเทวดาอาจโดนทำร้ายด้วยมีดด้วยขวานด้วยเลือย แต่หาถึงกับจุติไม่ เพียงแต่ทำให้ลำบาก แต่ถ้ารุกขเทวดาท่านนั้นขาดเทวดาธรรมก็อาจจะทำร้ายมนุษย์ผู้นั้นได้ ซึ่งโดยมากรุกขเทวดาท่านจะไม่ใส่ใจ  เพราะหาที่สถิตใหม่โดยไม่ลำบาก    เพียงนึกเอาก็สำเร็จ และท่านสามารถสิงสถิตที่ไหนก็ได้ตามใจปารถนาในโลกวัตถุ ที่ยังไม่มีรุกขเทวดาองค์อื่นครองอยู่    แต่ส่วนมากรุกขเทวดาจะเลือกสถานที่ที่สิ่งสถิต ที่ท่านพึงพอใจและเป็นที่สงบ รุกขเทวดาแบ่งเป็นประเภทได้คือ
               
รุกขเทวดาที่สร้างวิมานสิงสถิตอยูบนรอบต้นไม้ อยู่บนกิ่งต้นไม้ อยู่ในเปลือกไม้ อยู่ในแก่นไม้ อยู่โตนต้นไม้ หรืออยู่ในรากไม้  อยู่บนยอดหญ้าและใบไม้
               
รุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในภูเขา อยู่ในป่า อยู่ในถ้ำ รุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในสิ่งก่อสร้าง เช่น วัดวาอาราม ในพระพุทธรูป ในบ้านในเรือน
               
และรุกขเทวดาที่สิ่งสถิตอยู่ในมนุษย์บางคน ในสัตว์บางตัว พึ่งพาอาศัยซึ่งกันละกัน จะเห็นว่ารุกขเทวดาบนโลกมนุษย์นี้มีมากมายเสียเหลือเกิน แต่หาได้เกี่ยวของกับมนุษย์ไม่เพราะอยู่กันคนละรูป คนละภพ คนละมิติ มนุษย์จึงไม่เห็นรุกขเทวดา แต่รุกขเทวดาท่านเห็นมนุษย์ได้ และรุกขเทวดาท่านก็หาได้สนใจในมนุษย์ไม่ ยกเว้นท่านจะกรุณาช่วยเหลือ อาวุธของมนุษย์ไม่เป็นอันตรายต่อรุกขเทวดาได้แม้แต่เพียงนิดเดียว  ยกเว้นมนุษย์ที่มีสมาธิสูงที่เป็นสมมาธิฐิและมีวิชาอาคมแก่กล้า ก็ไม่สามารถทำให้รุกขเทวดานั้นจุติหรือตายได้  เพียงแต่ทำให้ท่านเกรงใจและศรัทธาในปฏิปทาเท่านั้น รุกขเทวดาจึงไม่เผลอกระทำในสิ่งที่ขาตเทวดาธรรม รุกขเทวดาอยู่ร่วมกัน  ก็มีการปกครอง คล้ายมนุษย์โลก  แต่เป็นประชาธิปไตรมากกว่านัก คือจะไม่ก้าวข่ายกัน เพราะไม่มีความทุกข์ใดที่จะเบียดเบียนกัน ยกเว้นสถานที่สิ่งสถิตที่จะต้องจัดแบ่งกันด้วยความเหมาะสม ตามอำนาจบุญบารมีของแต่ละท่าน ดังนั้นจึงบังเกิดมีรุกขเทวดาที่เป็นเจ้าที่เจ้าทาง คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในบริเวณที่ท่านมีอำนาจปกครอง จัดสรรที่สิ่งสถิตให้เป็นที่สงบเรียบร้อย  เทวาองค์ใดจะไปจะมาท่านจะต้องรับรู้ก่อน เช่นเดียวกันถ้าพวกผีพวกเปรต หรืออสุรกาย จะไปจะมา ท่านเจ้าที่ก็มีหน้าที่ไม่ให้เข้าในอาณาบริเวณได้  หรือให้เข้ามาได้ถ้าเห็นว่าสมควร ความจริงแล้วในสถานที่ร่มรื่น หรือวัดว่าอาราม ในภูเขาที่สงบ ในป่าที่สมบูรณ์ด้วยไม้หอม ในบ้านเรือนที่มีรูปสิ่งสักสิทธ์ที่เป็นที่บูชา ย่อมเป็นที่สิ่งสติของเหล่าภูมเทวดาหรือรุกขเทวดา อย่างหนาแน่น และยิ่งมีมนุษย์ที่มีคุณธรรมสูงพักอาศัยอยู่ที่ไหน เหล่าภูมเทวดารุกขเทวดา ก็จะสิ่งสถิตอยู่ที่นั้นมาก
         
2. ยักษ์ก็เป็นภูมเทวดา  มีรูปปกติของท่านเป็นยักษ์น่ากลัวน่าเกรงขาม มีรูปร่างที่เป็นทิพย์ใหญ่โตมาก จะไม่คอยแสดงกายให้มนุษย์เห็น แต่ขณะปกติส่วนมากท่านจะเนรมิตให้มีรูปร่างเหมือนเทวดาทั่วไป  และมีทิพย์ทั้งหมดสมบูรณ์เหมือนกับเทวดาทั่วไปตามบุญบารมี ยักษ์ส่วนมากจะสิ่งสถิตอยู่ตามภูเขา ใต้ภูเขา ในถ้ำ ในสระน้ำใหญ่ ในทะเล กลายเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา มีอาณาเขตปกคลองกว้างใหญ่ ถ้ามีบริวารยักษ์มากเรียกท่านผู้นั้นว่าพระยายักษ์ผู้มเหศักษ์ บางท่านมีบริวารเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ตามบุญบารมี
         
3.พระยานาค หรือนาคพิภพจัดเป็นเทวดาชั้นจาตุ แต่มีสถานะเป็นสัตว์ทิพย์ มีทิพย์วิมาน และสิ่งที่เป็นทิพย์เหมือนกับเทวดาทุกอย่าง แต่รูปร่างปกติของท่านเป็นเหมือนงูใหญ่ที่มีหงอน สามารถพ่นควันหรือไฟที่เป็นพิษร้ายได้  สามารถเนรมิตร่างกายเหมือนมนุษย์หรือเทวดาได้ พิภพของพระยานาคที่แฝงอยู่ในโลก จะอยู่ใต้แม่น้ำใหญ่ ใต้ทะเล และใต้มหาสมุทร หรืออยู่มหาสมุทรศรีทันดรที่เป็นทิพย์เชิงเขาสิเนรุ  นาคพิภพนั้นก็จะมีพระยานาคที่เป็นใหญ่ปกครองอยู่ตามอนาเขตของท่าน
           
4. พระยาครุฑ เป็นพระยานกที่เป็นทิพย์ จัดเป็นเทวดาชั้นจาตุ ที่มีทิพย์สมบัติต่างๆ ตามบุญกุศลที่ทำมา รูปร่างปกติของท่านเป็นนกใหญ่ที่มีปีก แต่มีลักษณะร่างกายคล้ายเทวดา มีปากเหมือนนก มีอุ้มเท้าเหมือนนก แต่มีมือเหมือนเทวดา สามารถบินได้อย่างรวดเร็ว เร็วกว่าการเหาะเหินของพระยานาคเสียอีก ที่อยู่อาศัยของพระยาครุฑอยู่เกือบสุดขอบของพิภพจาตุ เป็นป่าทิพย์ส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์นั้นที่อยู่เชิงเขาสิเนรุ พระยาครุฑอยู่ไกลจากโลกมนุษย์มาก มนุษย์จึงกล่าวถึงพระยาครุฑน้อยกว่าพระยานาค
         
5. กินนรกินรี ก็เป็นสัตว์ทิพย์ประเภทนก แต่มีอำนาจบารมีน้อยชอบอยู่กันเป็นคู่ มีรูปร่างท่อนล่างเหมือนนก  แต่ท่อนบนจากเอวขึ้นมาเป็นเหมือนมนุษย์หรือเทวดา อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ อาศัยผลไม้ทิพย์เป็นอาหารในการดำรงค์ชีพ ซึ่งไม่คอยมายุ่งเกี่ยวกับคน และสัตว์ทิพย์ประเภทอื่น
         
6. วิทยาธร ก็คือคนธรรพ์ประเภทหนึ่ง เป็นเทวดาชั้นจาตุมีทิพย์ แต่มีความเก่งกล้าในวิชาอาคม จะท่องเทียวอยู่บริเวณป่าหิมพานต์ร่ำเรียนในวิชาอาคม บางท่านดำรงค์ตนเป็นชีปะขาวถือศีลแปด บางท่านปฏิบัติตนเหมือนฤาษี เป็นผู้คงแก่เรียน จะมีความเกี่ยวข้องมนุษย์โลกมาก ในด้านคาถาอาคม
            
มากล่าวถึงเทพชั้นจาตุที่อยู่ห่างไกลกับมนุษย์โลกแต่ยังติดต่อเป็นครั้งเป็นคราวซึ่งได้แก่อากาศเทวดา อาศัยอยู่กลางเขาสิเนรุ และลอยอยู่ในอากาศระหว่างยอดและฐานของภูเขาสิเนรุ ได้แก่
           1.
คนธรรพ์ เป็นเทวดาชั้นจาตุที่มีความเก่งสามารถในการขับร้องและดนตรีเป็นอย่างยิ่ง
           2.
เทวดาชั้นผู้ใหญ่และบริวาร ที่มีวิมานเป็นของตนเอง
          3.
เทวดาชั้นปกครองและบริวาร คือท้าวโลกบาลทั้ง 4 และบุตรของท่านที่เรียกว่า อินทร์ (ไม่ใช่องค์อินทร์ที่ปกครองเทวดาชั้นดาวดึง) และเทวดาปกครองชั้นผู้ใหญ่รองลงมา
        
เทวดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสวรรค์ชั้นจาตุมี 4 ท่านเรียกว่าท้าวโลกบาลทั้ง 4 ได้แก่
              1.
ท้าวธตรฏฐ์ ปกครองเหล่าเทพเทวดาทางทิศบูรพา รวมทั้งคนธรรพ์
              2.
ท้าววิรุฬหก ปกครองเหล่าเทพเทวดาทางทิศทักษิน รวมทั้งภุมภัณฑ์
              3.
ท้าววิรูปักษ์ ปกครองเหล่าเทพเทวดาทางทิศปัจฉิม รวมทั้งพวกพระยานาค
              4.
ท้าวกุเวร    ปกครองเหล่าเทพเทวดาทางทิศอุดร รวมทั้งพวกพระยาครุฑ
        
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเหล่าเทวดาชั้นจาตุ ซึ่งสัตว์ทิพย์ของจาตุภิพภมีมีมากที่ไม่ได้กล่าวถึง จะเห็นว่าพิภพจาตุนั้น ผู้ที่เป็นทิพย์นั้นมีความหลากหลายมาก และมีความสลับสับซ้อนอีกมากมาย ทิพย์สมบัติก็แตกต่างกันมากมาย  แต่ยังน้อยกว่าโลกมนุษย์ที่มีทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัชฉานอาศัยอยู่รวมกัน เพราะมีความแตกต่างกันมากเหลือเกิน ทั้งในมนุษย์เองและในสัตว์เดรัชฉานทั้งหลาย

                        ท่องไปแดนสวรรค์ดาวดึงสาเทวะภูมิ
            
ดาวดึงส์เทวะภูมิ จะไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับโลกวัตถุมนุษย์เลย และเป็นเทวดาบนอากาศเท่านั้น อยู่สูงบนยอดเขาสิเนรุขึ้นไปจึงลอยอยู่ในอากาศในความหมายของมนุษย์ แต่ถ้าเป็นเทพดาวดึงก็เป็นเหมือนพื้นที่เยียบย่างได้ ภพและเทพดาวดึงส์ มีรูปที่ละเอียดมากกว่าภพและเทพจาตุมากนัก คือเทพจาตุไม่สามารถมองเห็นเทพหรือภพดาวดึงส์ได้ ยกเว้นเหล่าเทพดาวดึงส์จะเนรมิตให้เห็นและไปสัมผัสภพดาวดึงส์ได้
       
ภพจาตุกับภพดาวดึงส์เหมือนเป็นภพพี่ภพน้อง เพราะมีการไปมาหาสู่กันเป็นประจำ  เพราะภพจาตุเป็นภพที่ได้รับข้อมูลจากมนุษย์โลกโดยตรง ที่จะแจ้งให้กับเทพดาวดึงส์ และการขับร้องฟ้อนรำของคนธรรพ์ของภพจาตุนั้นมีความแปลกตา และเป็นที่ชื่นชมของเทพเหล่าดาวดึงส์ จึงมีการนำเทพทางดนตรีและการฟ้อมรำจากจาตุขึ้นไปแสดงในดาวดึงส์พิภพเป็นประจำ
       
เทพเทวดาดาวดึงส์จะมีรูปร่างสวยสดงดงามยิ่งกว่าเทพเทวดาชั้นจาตุ  และจะไม่มีสัตว์ทิพย์ดังชั้นจาตุ  แม้แต่ช้างเอรวัญที่ยิ่งใหญ่ขององค์อินทร์เมื่อจะเสด็จไปไหนอย่างใหญ่โต ก็เป็นเทพบุตรองค์หนึ่งหาได้เป็นช้าง แต่จะเนรมิตเป็นช้างเอราวัณให้เป็นที่ประทับขององค์อินทร์ เมื่อจะแสดงฤทธานุภาพให้ปรากฏ
        
ภูมิประเทศของชั้นดาวดึงส์ จะมีพื้นเสมอราบเรียบ และมีพื้นอ่อนนุ่มเยียบย่างเป็นที่สบายเท้าเป็นยิ่งนัก อาณาบริเวณกว้างมากนัก คลุมอยู่บนชั้นจาตุทั้งหมด จนเกือบถึงขอบจักรวาล แต่ที่สิงสถิตของเหล่าเทพดาวดึงส์อย่างหนาแน่นก็คือบนยอดเข้าสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเวชยัญปราสาท วิมานขององค์อินทร์ราชาของเทพดาวดึงส์ แล้วรายล้อมไปด้วยวิมานของเทพต่างๆ แผ่กว้างออกไป เป็นเมืองใหญ่ มีทั้งสระน้ำและต้นไม้อันเป็นทิพย์ มีทั้งสวนอุทยาน มีทั้งธรรมศาลาอันเป็นที่ประชุมเหล่าเทพเทวดา มีทั้งเจดีย์จุฬามนีเป็นที่สถิตพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และมีต้นปาริชาติอันมีดอกหอมเป็นที่สุด ซึ่งมีแต่ในภพดาวดึงส์เท่านั้น สถานที่ที่เทพเหล่าชั้นดาวดึงส์สิงสถิตอยู่มากรองจากยอดเขาสิเนรุ ก็คือบริเวณที่อยู่เหนือโลกมนุษย์เรานี้เอง  ส่วนเหนือโลกอื่นเหมือนโลกมนุษย์ก็มีอยู่ แต่ไม่หนาแน่นเท่า
       
ภพดาวดึงส์หาได้มีกลางวันกลางคืนเหมือนกับมนุษย์โลก เพราะมีแต่ความสว่างอยู่อย่างเดียว ด้วยรัศมีจากทิพย์วิมานและรัศมีจากกายของเหล่าเทพเทวดา เทพชั้นดาวดึงส์จะไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ทั้งโลกมนุษย์ สวรรค์ชั้นจาตุ และชั้นดาวดึง แม้กระทั้งยมโลก แต่โลกมนุษย์ และยมโลกถ้าไม่ใช่กรณีพิเศษจริงๆ แล้วเหล่าเทพเทวดาอากาศไม่นิยมลงมา  เพราะทั้งแสงทั้งกลิ่นและภูมิประเทศหาได้เจริญตาไม่ แถมทำให้สะอิดสะเอียนเสียอีก ดังนั้นเวลาเหล่าเทพเทวดาเหล่านี้   จะดูมนุษย์โลกก็เพียงแต่ส่องทิพย์เนตรมาดูเท่านั้น หรือส่งกระแสจิตมาเท่านั้น จะไม่ลงมาทั้งกาย
           
รูปกาย รัศมี อาหาร เสื้อผ้าอาภร ทิพย์วิมาน การสัมผัส และอิทธิฤทธิ์ ย่อมมีมากกว่าเทวดาชั้นจาตุอย่างมาก แต่มีเพศสัมพันธ์ยังคล้ายกัน รูปกายของเทวดาชั้นดาวดึงส์นั้นสูงใหญ่กว่าเทวดาชั้นจาตุมากนัก ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ โลกมนุษย์นั้นมีขนาดเพียงเท่าหัวแม่มือหรือ 1 กำปั้นของเทพดาวดึงส์เท่านั้น แต่อยู่คนละภพคนละมิติ ซึ่งมนุษย์โลกไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยความใหญ่โตของเทวดา ดังนั้นเวลามีภารกิจที่ต้องลงมาบนมนุษย์โลก เช่นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือเยี่ยมเยียนผู้ที่มีคุณธรรม ก็จะเนรมิตให้กายเล็กเท่ากับมนุษย์ หรือใหญ่กว่ามนุษย์พอประมาณ  และปรากฏให้เห็นเฉพาะมนุษย์ผู้นั้นเท่านั้น ยกเว้นในกรณีพิเศษ เช่นในสมัยที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงมีพระชนชีพอยู่  หรือจะแสดงให้เป็นที่ปรากฏแก่มวลมนุษย์เป็นบางครั้งบางคราเท่านั้น
            
การปกครองของเหล่าเทพดาวดึงส์ มีเทพเทวดาผู้ใหญ่ปกครองอยู่ 33 องค์ และมีองค์อินทร์เป็นผู้ปกครองสูงสุด เหล่าเทพเทวดาบนชั้นดาวดึงส์เป็นผู้มีศีลมีธรรมจึงมาจุติเป็นเทวดาได้ และไม่มีความลำบาก ทุกอย่างเป็นทิพย์ทั้งหมด จึงไม่มีปัญหาวุ่นวายเหมือนดังมนุษย์ และเทวดาชั้นจาตุ
            
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นมีเสียงมโหรี การขับร้องฟ้อนรำ การแสดงอยู่ทุกเวลา มีสัมผัสที่เป็นสุขเสียทุกอย่าง มีใจที่เป็นสุขอ่อนๆอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจิดจึงไม่สับสนเหมือนมนุษย์ มีความเพริดเพลินเจริญตาเจริญใจอยู่ตลอดเวลา
            
เมื่อกล่าวเทพเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็ต้องกล่าวถึงเทวดาที่มีถานะเทียบเท่ากับกันแต่อยู่คนละที่ ได้แก่เทวดาที่เรียกว่าชื่ออสุราหรืออสูร ตั้งแต่โบราณกาลนานมาแล้วเหล่าเทพอสุราก็เป็นเทพอยู่บนชั้นดาวดึงส์  แต่เป็นเทพที่ชอบดื่มน้ำอำมฤตจนครองสติไม่อยู่  แอะอะโวยวายจนสิ้นสติ ในภายหลังได้มีเทพ 33 องค์ขึ้นมาจุติใหม่เป็นผู้มีบุญบารมีมาก จึงได้ทำความรู้จักกันแต่เทพอสุรา นิสัยของเทพอสุรานั้นชอบดื่มน้ำอำมฤตและแอะอะโวยวายไม่มีเหตุผล ซึ่งเทวดาผู้มาจุติใหม่นั้นไม่ชอบและเห็นว่าไม่สมควร พอถึงเวลาอันสมควรเหล่าเทพอสุราก็จะทำการฉลองให้เทพที่จุติใหม่ 33 องค์ ก็มีการดื่มน้ำอำมฤตจนสิ้นสติ แต่เห่ลาเทพ 33 องค์ และเทพบางส่วนที่ไม่นิยมดื่มน้ำอำมฤตจนสิ้นสติ ก็หาได้หมดสติไปด้วย เหล่าเทพเหล่านั้นก็ประชุมกันว่า เราจะปกครองอยู่ร่วมกับเทพเหล่าที่แอะอะโวยวายจนสิ้นสติคงไม่ได้   จงตกลงกันว่าให้จับเทพที่หมดสติทั้งหมดโยนไปจากเขตชั้นดาวดึงส์ โดยแต่งตั้งให้พระอินทร์เป็นผู้ปกครองสูงสุด และมีเทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ปกครองเป็นเขตๆ ไป เมื่อเทพอสุราถูกโยนจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ตกลงสู่ด้านล่างสุดของเขาสิเนรุ แต่ด้วยบุญที่ยังมีอยู่ทำให้เกิดพิภพ   ที่เป็นทิพย์เหมือนดั่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขึ้นมารองรับ  เป็นพิภพของอสุรา หรือผู้ที่ไม่ได้ดื่มน้ำอำมฤตอีกต่อไป เมื่อเหล่าเทพอสุราพื้นคืนสติขึ้นมา ก็มีความโกรธแค้นพวกพระอินทร์เป็นอย่างมาก ท้าวเวปจิตติอสูรผู้เป็นใหญ่ของภพอสูรก็รวบรวมเทพอสุราและผู้มาจุติใหม่ในพิภพอสูร ยกทัพเทวดาอสุรินขึ้นไปโจมตี ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ไม่เคยยึดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์คืนมาได้
           
เหล่าเทพอสุราปกติก็มีรูปร่างสวยงามเหมือนดังเทพชั้นดาวดึงส์ แต่ชอบจำแลงแปรงกายให้เป็นที่น่าเกรงกลัว กับเทวดาชั้นจาตุและเทวดาดาวดึงส์ เพราะต้องยกทัพผ่านสวรรค์ชั้นจาตุ เพื่อหาโอกาสยึดสวรรค์ดาวดึงส์คืน จึงทำให้เหล่าเทพชั้นจาตุรวมกับเทพชั้นดาวดึงส์ต่อต้านเหล่าเทพอสุราตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว และพึ่งสงบศึกกันในสมัยพระพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นนี้เอง ดังนั้นในตำราของพระพุทธศาสนาสมัยต้นๆ
       
กล่าวถึงเทวดาอสูรที่เป็นใหญ่เช่น สุจิตอสูร ปะหาราทอสูร และอสุรินทราหู ทำร้ายเทพเทวดาและมนุษย์ผู้มีศีลผู้มีธรรม เพราะเกรงกลัวว่าจะมีตบะมีฤทธิ์เหนือกว่าตนทั้งที่เป็นมนุษย์  จึงมีเรื่องมีราวเล่ากันมาและแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไม่จบสิ้นแม้กระทั้งปัจจุบัน
 
อายุขัยของเทวดาชั้นดาวดึงส์ยืนยาวถึง 1000 ปีทิพย์ หนึ่งวันทิพย์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เท่ากับ 100 ปีมนุษย์โลก ดังนั้นอายุขัยเทวดาชั้นดาวดึงส์ยืนยาวถึง 36 ล้านปีมนุษย์โลก

                                      ท่องแดนสวรรค์ชั้นยามา
        
ยามาเป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 ที่อยู่เบื้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เป็นสวรรค์ที่มีทิพย์สมบูรณ์ยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยิ่งนัก  และมีรูปที่ละเอียดกว่า มนุษย์และเทพชั้นจาตุและดาวดึงส์ไม่สามารถมองเห็นสวรรค์ชั้นยามาได้ ยกเว้นเทวดาชั้นยามาจะเนรมิตให้เห็นได้เท่านั้น สวรรค์ชั้นยามาย่อมมีทิพย์มีความสุขและมีฤทธิ์มากกว่าสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่า และเพศสัมพันธ์ก็ต่างจากสวรรค์ชั้นล่างคือ เพียงแต่กอดกันเท่านั้น สวรรค์ชั้นยามานี้อยู่ห่างจากโลกมนุษย์นี้มาก การติดต่อกับมนุษย์โลกจึงมีน้อยไม่เหมือนกับเทวดาชั้นจาตุหรือดาวดึงส์ จึงไม่คอยมีเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ชั้นนี้มากนัก อายุขัยของสวรรค์ชั้นยามา 2000 ปีทิพย์ หนึ่งวันทิพย์เท่ากับ 200 ปีมนุษย์โลก จึงได้อายุขัยของสวรรค์ยามาคือ 144,000,000 ของมนุษย์โลก

                                ท่องแดนสวรรค์ชั้นดุสิต
          
ดุสิตเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่เบื้องบนสวรรค์ชั้นยามา ย่อมมีทิพย์มีความสุขและมีฤทธิ์มากกว่าชั้นยามา และมีรูปที่ละเอียดกว่าสวรรค์ชั้นยามาดังนั้นชั้นมายาก็ไม่สามารถมองเห็นเทพชั้นดุสิต  ชั้นดุสิตเป็นที่รู้จักกันมากในพุทธศาสนา เพราะเป็นที่จุติของบรรดาพระโพธิสัตว์ หรือผู้มีศีลมีธรรมเสียส่วนมาก  จึงมีความสงบและสนทนาธรรมกัน  เป็นเรื่องปกติธรรมดาของเทพเทวดาชั้นนี้ และในชาติก่อนที่พระมหาโพธิสัตว์จะลงไปจุติเป็นมนุษย์โลกตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องเสวยสุขอยู่ชั้นดุสิตนี้ทุกพระองค์ เพศสัมพันธ์บนชั้นดุสิตนี้ถ้ามีความพึ่งพอใจกันเพียงแต่สบตากันและจับมือถือแขนเท่านั้น  อายุขัยของเทพชั้นดุสิต 4000 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์เท่ากับ 400 ปีมนุษย์ ดังนั้นอายุขัยของเทพชั้นดุสิตคือ 576,000,000 ปีของมนุษย์โลก
 

                                  ท่องแดนสวรรค์ชั้นนิมมา
            
สวรรค์ชั้นนิมมา นั้นอยู่เบื้องบนสวรรค์ชั้นดุสิต ย่อมมีทิพย์มีความสุขและมีฤทธิ์มากกว่าชั้นดุสิต และมีรูปที่ละเอียดกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ดังนั้นชั้นดุสิตไม่สามารถมองเห็นเทพชั้นนิมมา และความสุขของเทพนิมมานี้คือ ปารถนาความสุขอะไรก็สามารถเนรมิตได้ดังใจหมาย อายุขัยของเทพชั้นนิมมา 8000 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์เท่ากับ 800 ปีมนุษย์ ดังนั้นอายุขัยของเทพชั้นนิมมาคือ 2,304,000,000 ปีของโลกมนุษย์

                                  ท่องแดนสวรรค์ชั้นปรมิน
                
สวรรค์ชั้นปรมิน นั้นอยู่เบื้องบนสวรรค์ชั้นนิมมา ย่อมมีทิพย์มีความสุขและมีฤทธิ์มากกว่าชั้นนิมมา และมีรูปที่ละเอียดกว่าสวรรค์ชั้นนิมมา ดังนั้นชั้นนิมมาไม่สามารถมองเห็นเทพชั้นปรมิน และความสุขของเทพปรมินนี้คือ ปารถนาความสุขอะไรก็จะมีเทพองค์อื่นเนรมิตให้ทันที่ดังใจหมาย  ด้วยสวรรค์ชั้นปรมินเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด มีฤทธิ์สูงสุดกว่าเทพทั้งหลายและมนุษย์ ยกเว้นพระพรหม แต่พระพรหมนั้นไม่คอยมายุ่งเกี่ยวกับเทวดาและมนุษย์มาก เทพชั้นปรมินจึงแบ่งเป็นเขต 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นเทพฝ่ายคุณธรรมปกครองกันด้วยศีลด้วยธรรมไม่เบียดเบียนเทวดาและมนุษย์ ส่วนที่ 2 เป็นเทพฝ่ายมารเพราะมีความเห็นว่าเป็นผู้ที่มิฤทธิ์สูงที่สุดและอายุยืนยาวมากในหมู่เทวดาและมนุษย์ ดั้งนั้นเมื่อรู้เห็นมนุษย์หรือเทพชั้นต่ำกว่า ทำฤทธิ์หรือทำคุณงามความดีเหนือกว่าตน จึงคอยมาขัดขวาง คำว่าเทพฝ่ายมารนั้นก็หาใช้มีแต่เพียงเทพชั้นปรมินอย่างเดียว แต่อาจเป็นเทพชั้นต่ำๆ ลงมาหรือมนุษย์ก็ได้ ที่เห็นผู้อื่นทำดีกว่าด้วยความเป็นธรรม ก็ขัดขวางไม่ให้สำเร็จ หรือทำให้ถ้อแท้ หรือทำให้หลงทางไปอย่างอื่นไปเสีย หรือชักนำลงในทางที่ต่ำ อายุขัยของเทพชั้นปรมิน 16000 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์เท่ากับ 1600 ปีมนุษย์ ดังนั้นอายุขัยของเทพชั้นปรมินคือ 9,216,000,000 ปีของโลกมนุษย์

 ส่วนแดนของพระพรหมจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ แค่จะกลับไปท่องแดนอบายภูมิ คำว่าอบายภูมิ เป็นภูมิที่มีความทุกข์มากไม่มีสติปัญญา

                              ท่องไปดินแดนอบายภูมิสัตว์เดรัชฉาน
            
ดินแดนสัตว์เดรัชฉานก็เป็นดินแดนเดียวกับโลกมนุษย์นี้และ สัตว์เดรัชฉานเป็นสัตว์ที่ไม่มีปัญญามีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว  มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติของโลกที่อำนวยให้ ไม่รู้จักประดิษฐ์สิ่งของและเครื่องมือ จึงเป็นภพภูมิที่มีความยากลำบากเสียมากกว่า แต่ไม่รวมกันกับพวกพระยานาคและพระยาครุฑหรือสัตว์ที่เป็นทิพย์ในสวรรค์ชั้นจาตุ กล่าวถึงสัตว์เดรัชฉานที่อยู่บนโลกนี้มนุษย์เห็นและรู้จักดี เพราะเป็นอาหารและเอาไว้ใช้งานของมนุษย์ ความจริงแล้วยังมีสัตว์เดรัชฉานในโลกวัตถุอื่นที่มนุษย์ยังไม่รู้จักหรือดินทางไปถึง ดังนั้นภพของสัตว์เดรัชฉานจึงไม่ขอกล่าวมาก

                                  ท่องไปดินแดนเปรต
            
เปรต เป็นอบายภูมิที่ปรากฏเห็นความทุกอย่างชัดเจนขึ้น เพราะมีชีพเป็นอยู่ด้วยความหิวโหยด้วยความกระหาย และด้วยความทุกข์ทุรนทุรายเป็นส่วนมาก ภพของเปรตนั้นกว้างใหญ่มาก คาบเกี่ยวอยู่กับชั้นจาตุบางส่วน และโลกมนุษย์ ซึ่งเปรตสามารถแบ่งเป็นประเภทตามความทุกข์ตามถานะได้ดังนี้
             1.
วิชชาตเปรต  เป็นเปรตชั้นดีมีฤทธิ์มาก แต่มีความกระหายน้ำเป็นกำลัง  ไม่เคยว่างเว้นจากการกระหาย  ถึงมีฤทธิ์ทำอะไรได้มากก็ไม่สามารถทำให้หายจากการกระหายน้ำไปได้มีแต่ความทุกข์และเศร้าอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นจะมีผู้อุทิศส่วนบุญให้จึงบรรเทาความหิวกระหายไปได้ ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนภพได้ ต้องดำรงค์สภาพจนสิ้นกรรม แต่ถ้ายังกระทำกรรมเพิ่มในขณะเป็นเปรตจะ ต้องเกิดเป็นเปรตชั้นต่ำไปอีกหรือตกนรก ดังนั้นจึงหลบหลีกหนีไปจากมนุษย์และเทวดา ไม่ต้องการให้เห็นสภาพของตนเอง ยกเว้นบางพวกที่ยังมาแสร้งหลอกลวงมนุษย์ เพื่อหวังผลบุญให้หายกระหายเล็กๆ น้อย แต่กรรมที่ตามมานั้นมหาศาล เพราะจะหมดจากสภาพเปรตนั้นยากขึ้น
          2.
มหิทธิกาเปรต มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้มีรูปงาม มีสภาพคล้ายกับวิชชาเปรต แต่หิวโหย อาหารอยู่ตลอดเวลา ต้องทนอยู่กับความทุกข์นี้อยู่ตลอดเวลาจนสิ้นกรรม แต่ถ้ากระทำกรรมชั่วในขณะเป็นเปรตก็จะอยู่ในสภาพเดียวกับวิชชาเปรต
          3.
เวมานิกเปรต  มีวิมานเป็นของตนเอง บางครั้งเสวยทิพย์บางครั้งเป็นเปรต มีบริวารที่เป็นเปรตประเภทอื่นคอยรับใช้ นับว่าเป็นเปรตที่พอได้รับความสุขดั้งเทพเทวดา  แต่พอถึงเวลาเป็นเปรตก็จะทุกข์ทรมานเหมือนกับเปรตชั้นต่ำ หรืออาจมากกว่าต้องเสวยกรรมเป็นเวมานิกเปรตจนสิ้นกรรม ไม่มีใครที่จะอุทิศส่วนบุญหรือช่วยให้หมดกรรมไปได้ แต่ถ้าทำกรรมไม่ดีเพิ่มก็จะรับกรรมไปอีกนาน หรืออาจจะเป็นเป็นเปรตที่ทุกข์ทรมานอย่างถาวร
 
หมายเหตุ เปรต 1,2,3 โดยส่วนมากจะกลัวต่อการทำกรรมที่เป็นอกุศลมาก เพราะผลกรรมได้แสดงให้เห็นอยู่ ยกเว้นพวกที่หลงผิดเอามากๆ ที่โกหก หลอกล่วง ใช้ฤทธิ์ในทางที่      ผิด กรรมส่งผลอยู่ 2 สถาน คือ 1.ไม่หมดกรรมในการเปรต 2.ตกอบายภูมิที่ต่ำลง
        4.
วันตาสาเปรต  รูปร่างชั่วร้าย แสวงหาน้ำลายและสะเลสเป็นอาหารแต่ไม่เคยหายหิวโหย ต้องหิวโหยอยู่ตลอด จนหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศ      ส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราว
        5.
กุณปขาทาเปรต รูปร่างน่ากลัวพิลึก กาซากอสุภกินเป็นอาหาร แต่ไม่เคยอิ่มมีแต่ความหิวโหยจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       6.
คูกขาทาเปรต รูปร่างน่าเกลียดน่าชั่ง มีกลิ่นเหม็นสาบ กินมูตรคูก(อุจจารปัสสาวะ)
จะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
                    
เปรต 4,5,6 สามารถแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งเป็นครา
        7.
อัคคีชาลมุขาเปรต มีเปลวไฟออกจากปาก ไหม้ลิ้นปากและคอจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
 8.
สูจิมุขาเปรต มือเท้าใหญ่โตท้องเท่าภูเขาคอยาว มีปากเท่ารูเข็ม อดยากอาหารจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       9.
ตัณหาชิตาเปรต มีรูปร่างผอมโซ ยากข้าวยากน้ำแต่ไม่เคยได้กินจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       10.
นิชณามกเปรติ ฟันสีขาวมีเขี้ยวลำตัวดุจตันตาลต้นไม้ที่ถูกไพไหม้ เคลื่อนไหวไม่ได้จะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       11.
สัพพังคเปรต  ร่างใหญ่โต มีเล็บมือเล็บเท้าคม ข่วนตะกายตัวเอง กินเลือดเนื้อตนเองจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       12.
ปัพพตังคเปรต ร่างใหญ่โต กลางคืนไฟลุกทั่วตัว กลางวันปรากฏควันร้อนระอุจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       13.
คชคราทิเปรต  ร่างแตกต่างหลายชนิดคล้ายสัตว์ทั่วไป แต่มีไฟเผาตลอดเวลาจะหมดกรรมเมื่อชดใช้กรรมหมด ไม่มีใครสามารถอุทิศส่วนบุญให้เปลี่ยนภพภูมิได้ แต่อุทิศส่วนบุญให้พอคลายความทุกข์ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
       14.
ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตที่รับส่วนบุญได้ประเภทเดียว และเป็นเปรตที่มีโอกาสดีกว่าเปรตทั้งหลาย เพราะสามารถรับส่วนบุญที่หมู่ญาติอุทิศให้ ทำให้ความทุกข์ที่เป็นอยู่น้อยลงไป หรือหมดจากสภาพการเป็นเปรต เกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น

                                          ท่องไปในโลกอสุรกาย
            
อสุรกายเป็นอบายภูมิที่ต่ำกว่าเปรตเสียอีก มีความทุกข์ทรมานกระหายน้ำ จนไม่มีสติสัมปํญญะที่จะรับรู้อะไรได้มาก ไม่สามารถอุทิศส่วนบุญให้ได้เลย จะทนทุกข์ทรมานนั้นจนหมดกรรม จึงมีสภาพย่ำแย่กว่าเปรต เพราะเปรตยังสามารถรับส่วนบุญจากผู้อุทิศให้ได้บ้าง บรรเทาความทุกข์ได้เป็นครั้งเป็นคร่าว
 
บางท่านมีความเข้าใจผิดระหว่างคำว่า อสุรกาย กับคำว่า อสูร ความจริงแล้วอสุรกายกับอสูรต่างกันราวฟ้ากับดินเพราะ อสูรนั้นเป็นเทพเทวดาที่เสวยทิพย์สมบัติอย่างเป็นสุข  แต่อสุรกายนั้นเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว มีความทุกข์มีความกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา

                                          ท่องไปในโลกนรก
            
โลกนรก เป็นโลกที่มีความทุกข์ทรมานมากด้วยความร้อน และไฟอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันหยุดพัก โลกนรกสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
 
มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่ มีทั้งหมด 8 ขุม
             1.
สัญชีวมหานรก สัตว์นรกที่ทำร้ายกันไม่มีวันตาย เป็นขุมนรกที่มีความร้อนแทบจะรุกเป็นไฟ และมีไฟลุกเป็นแห่งๆ สัตว์นรกพวกนี้หาได้เดินอย่างธรรมดาไม่ จะวิ่งเข้าหากันด้วยเล็บอันคมด้วยฟันอันคม ฉีกทึ้งเนื้อหนังของฝ่ายตรงกันข้ามด้วยหวังว่าเป็นอาหาร จนต้องตายไป แล้วเกิดใหม่ใน ณ ที่นั้นทันที แล้ววิ่งเข้าทำร้ายซึ่งกันและกันอีก จะต้องทำอย่างนี้จนหมดกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้เมื่อเป็นเปรตหรือเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา แต่ถ้ายังเสวยกรรมชั่วยังไม่หมดอาจจะไปเกิดในนรกขุมอื่นต่อไป หรือเกิดเป็นอสุรกายหรือเปรต
            2.
กาฬสุตต เป็นขุมนรกที่มีความร้อนแทบจะรุกเป็นไฟ และมีไฟลุกเป็นแห่งๆ นรกขุมนี้สัตว์นรกจะถูกนายนิรบาลเอาเหล็กเผาไฟจนแดงตีเป็นเส้นเหล็กดำ แล้วแทงเข้าร่างกาย ของสัตว์นรก ที่ถูกมัดหรือถูกจับไว้โดยไม่ปราณีปราสัย หลังจากนั้นเอาเลื่อยหรือมีดกรีดตามเส้นดำ เพื่อเอาเหล็กดำนั้นออกมา แล้วเอาเหล็กที่เผาไฟจนแดงที่ตีเป็นเส้นเหล็กดำแทงเข้าไปอีก กระทำคล้ายเดิม จนสัตว์นรกตนนั้นตาย เมื่อกรรมยังไม่หมดก็ต้องเกิดในนรกขุมนั้นอีก ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น
        
หมายเหตุ นายนิรบาล ทำไมจึงอยู่ในนรก และทำไมต้องลงโทษสัตว์นรก นายนิรบาลคือผู้ที่สร้างบุญมาบ้างและทำอกุศลกรรมมาด้วย และมีจิตใจที่แข็งกระด้างเย็นชาต่อความทุกข์ของผู้อื่น จึงได้มาเกิดในดินแดนที่แสนโหดร้าย แต่หาทำให้นายนิรบาลต้องลำบากไม่ และมีสิ่งที่เป็นทิพย์เล็กๆ น้อยๆ ให้ทรงอัตถะภาพอยู่ได้ แต่ต้องมีหน้าที่ลงโทษสัตว์นรกตามกรรมของสัตว์นรกนั้น ไม่มีวันหยุดหย่อนด้วยจิตใจที่ชินชา จนกว่าอกุศลกรรมอันเล็กน้อยนั้นใช้กรรมจนหมด จึงไปเกิดในภพภูมิใหม่ตามกรรมของเขา  นายนิรบาลบางท่านก็คือสัตว์นรกที่เสวยกรรมชั่วจนหมด แล้วมาเกิดเป็นนายนิรบาลก็มี
           3.
สังฆาฏ  เป็นขุมนรกที่มีความร้อนแทบจะรุกเป็นไฟ และมีไฟลุกเป็นแห่งๆ และสัตว์นรกกำลังวิ่งหนีอันตราย เหยีอบทับกันโดยไม่ปราณีปราสัย เพราะถูกภูเขาเหล็กแดงลุกเป็นไฟกลิ่งทับบดกระยี แต่ไม่มีสัตว์นรกตนไหนเลยที่จะรอดพ้นจากการโดนบดกระยีให้ต้องตาย แล้วเกิดเป็นสัตว์นรกใหม่ทันที่จนหมดกรรม
         4.
โรรุว  เป็นขุมนรกที่มีดอกบัวเหล็กดอกใหญ่ ซึ่งมีไฟลุกอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกจะถูกจับให้นอนคว่ำอยู่ในดอกบัวเหล็กที่ลุกเป็นไฟ โดนเผาจนตายแล้วเกิดใหม่เป็นสัตว์นรก  ก็จะถูกจับกระทำอย่างนี้จนหมดกรรม
         5.
มาโรรุว เป็นขุมนรกที่มีดอกบัวเหล็กดอกใหญ่ ซึ่งมีไฟลุกอยู่ตลอดเวลา แต่มีกลีบดอกคมเป็นกรดปั่นอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกจะถูกจับยืนแข็งทื่อในดอกบัวเหล็ก แล้วโดนกลีบที่คมเป็นกรดปั่นทั่วร่างกายพร้อมทั้งไฟลุกตลอดจนตาย แล้วเกิดเป็นสัตว์นรกอีกเมื่อกรรมยังไม่หมด
         6.
ตาปน  นายนิรบาลจะเอาหลาวเหล็กทิ่มแทงสัตว์นรก ให้ถอยไปโดนย่างด้วยไฟร้อนบนปลายหลาวเห็ลกจนตาย แล้วเกิดเป็นสัตว์นรกต่อจนหมดกรรม
         7.
มหาตาป สัตว์นรกจะถูกนายนิรบาลเอาหลาวเหล็กที่ไฟลุกโชน เสียบแทงเข้าไปในร่างกายแล้วเอาไปย่างไฟจนตาย แล้วเกิดเป็นสัตว์นรกต่อจนหมดกรรม
         8.
อเวจี เป็นขุมนรกที่มีความทุกข์ทรมานและโหดร้ายมากที่สุด เป็นนรกขุมลึกที่สุด สัตว์นรกจะถูกไฟลุกเผาอยู่ตลอดเวลาทั่วทั้งบริเวณไม่มีหยุดพัก

         อุสสุทนรก เป็นบริวารชั้นในมหานรกทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 4 ขุม เป็น 16 ขุม ซึ่งเป็นนรกที่มีความทุกข์น้อยกว่ามหานรก ซึ่งสัตว์นรกที่ถูกลงโทษในมหานรกจนหมดกรรมในมหานรก แต่ยังมีกรรมที้ต้องชดใช้อีก ก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรกในอุสสุทนรก

         ยมโลก เป็นนรกขุมเล็กชั้นนอก ทัง 4 ทิศ ทิศละ 10 ขุม เป็น 320 ขุม ซึ่งเป็นนรกที่มีความทุกน้อยกว่าอุสสุทนรก และยมโลกนี้และจะเป็นที่สิงสถิตของพระยายม มีศักษ์เป็นเทวดาชั้นจาตุ ที่ต้องมีหน้าที่พิพากษาผู้ที่มีกรรมไม่แน่นอนว่าจะตกนรกหรือไม่ เพื่อให้ระลึกถึงบุญกุศลที่ทำมาเพื่อจะได้ไม่ต้องตกนรก ส่วนผู้ที่ทำกรรมหนักหรือมีอกุศลกรรมส่งผลเต็มกำลังเป็นชนกกรรม จะจุติเป็นสัตว์นรกเลยโดยไม่ต้องให้พระยายมพิพากษา

         โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่แต่อยู่สุดขอบจักรวาล มีความหนาวเห็บตลอดเวลา และไม่มีพื้นแผ่นดินให้ยืนแต่จะเป็นหน้าผาสูงและกว้างใหญ่ไม่มีที่กำหนด หน้าผามีความเย็นเหมือนดังน้ำกรดกัดเข้าไปในเนื้อเหล็ก สัตว์นรกต้องอาศัยไต่ตามหน้าผาและไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย บางตนทนไม่ได้ต้องตกลงข้างล้างลงในทะเลเย็นเป็นกรดร่างกายแหลกเหลว แล้วมาเกิดเป็นสัตว์นรกอีก เป็นอยู่อย่างนี้จนชดใช้กรรมหมด บางครั้งสัตว์นรกไต่หน้าผามากใกล้กัน ก็กระโดดตะครุบเข้าหากัน สำคัญว่าเป็นอาหารเพื่อปะทังความหิวโหย ทำร้ายกันล่วงตกลงให้ร่างกายแหลกเหลวทั้งคู่

         จากที่กล่าวมาเมื่อรวมนรกทั้งหมดจะมีถึง  457 ขุม  เมื่อเทียบระหว่างสวรรค์กับนรก จะเห็นว่าจำนวนขุมของนรกจะมากกว่าชั้นสวรรค์มาก เพราะสัตว์ที่อยู่ในนรกมีมากกว่าเทวดามากมายนัก แถมอายุขัยของสัตว์นรกมีมากพอๆ กับเทวดาบนสวรรค์  แต่ในมหานรกอายุของสัตว์นรกนั้นมากกว่าอายุของเทพเทวดามากมายนัก เช่นอายุขัยของสัตว์ในอเวจีนรกที่ต้องชดใช้กรรมเต็มที่มีอายุเกือบถึง 1 กัป ดังเช่น พระเทวทัต ที่อยู่ในอเวจีนรกกว่าจะหมดกรรมก็เกื่อบสิ้นสุดของกัปปัจจุบันนี้

         การแสวงหาความสุขบนความแตกต่างของวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาของมนุษย์
-
จุดมุ่งหมาย
           
พุทธศาสนา  ศึกษาเพื่อ ความสุข ความสงบ ของกายและจิตใจ แต่เน้นจิตใจเป็นสำคัญ
           
วิทยาศาสตร์ศึกษาเพื่อความสะดวกสบายความสนุก และตื่นเต้นในทางกายและตามที่อยากปารถนา
-
ความแตกต่าง
            
วิทยาศาสตร์ อาศัยวิชาการที่พัฒนาขึ้นให้ปรากฏเป็นรูปธรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ด้วยการฝึกเรียนรู้ ฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ และฝึกประดิษฐ์ บังเกิดความฉลาด เพื่อความสะดวกสบายของร่างกาย และสนองความอยากปารถนาของมนุษย์
             
พุทธศาสนา อาศัยศรัทธาและปัญญาในธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ให้บังเกิดการปฏิบัติตาม ในการให้ทาน รักษาศีล และฝึกภาวนา บังเกิดปัญญาละความยึดมั่นทางกายและทางใจ  เพื่อความสุข ความสงบ ดับความเร้าร้อน การแย่งชิ่งและการเบียดเบียน ดับเสียซึ่งความอยากตัณหาทั้งหลายถึงพระนิพพาน

              ในยุกต์ก่อน พ.2500 ปี วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ยังมีน้อย   มนุษย์ดำรงชีพกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์เป็นส่วนมาก ผู้คนที่นับถือพุทธศาสนามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และปฏิบัติตามเป็นจำนวนมาก บังเกิดปัญญาในทางพระพุทธศาสนาบรรลุถึงความสงบ ละกิเลสตัณหาถึงฝั่งพระนิพพานมีจำนวนมาก ถึงแม้มนุษย์สมัยนั้นมีจำนวนน้อย
 
ในยุกต์หลัง พ.2500 ปี วิทยาการทางวิทยาศาสตร์มีมากขึ้น มนุษย์ดำรงชีพกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์น้อยลง  ผู้คนที่นับถือพุทธศาสนามีอยู่มาก แต่มีความศรัทธาน้อยลงเพราะมนุษย์เริ่มเสียเวลากับการศึกษาเรียนรู้มากขึ้น  เพื่อให้ดำรงณ์ชีวิตอยู่ได้ในสังคมที่ดี เป็นเวลา 2 ใน 7 ของอายุมนุษย์ รวมแล้วเสียเวลาเรียนและสร้างฐานะเป็น 3 ใน 4 ของอายุมนุษย์ บวกกับอายุขัยของมนุษย์น้อยลง และเพลิดเพลินไปกับวิทยาการใหม่ๆ เพราะเข้าใจว่าเป็นสาระสำคัญของความสุข ดังนั้นผู้ที่นับถือพุทธศาสนาจึงมีเวลาศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริงนัอยลง และมีเวลาในการปฏิบัติตามก็น้อยลงไปอีก ถึงแม้มนุษย์จะมากขึ้นและฉลาดขึ้น แต่เมื่อไม่ศึกษาให้ท่องแท้ จึงมีความเข้าใจผิดเพี้ยนไป ซ่ำมีความหลงเชื่อและเข้าใจผิดๆ มากขึ้น จึงทำให้ผู้ปฏิบัติผิดมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่บังเกิดปัญญาในทางพุทธศาสนา บรรลุถึงความสงบละกิเลสถึงพระนิพพานจึงมีน้อยลง ทั้งที่มนุษย์มีจำนวนมากขึ้นและผู้ที่ได้ชื่อว่านับถือศาสนาพุทธมากขึ้น

                        พุทธศาสนาบนเทวโลกและพรหมโลก
        
บนเทวโลกและพรหมโลกนั้นมีหลายชั้น และมีสรรพสัตว์จำนวนมากมายมหาศาลมากกว่ามนุษย์เป็นไหนๆ จึงมีความเชื่อและความศรัทธาในธรรมต่างๆ กันไป แบ่งเป็นกลุ่มเป็นเหล่าได้มากมาย แต่ก็มีเทพเทวดาหรือพระพรหมจำนวนมากมหาศาลส่วนหนึ่งศรัทธาในพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นศรัทธาที่บริสุทธิ์ เพราะเทพเทวดาและพระพรหมนั้นไม่มีภาระในการศึกษาวิชาการ เพื่ออำนายความสะดวกอย่างมนุษย์แบบเอาเป็นเอาตาย  และไม่ต้องหาเลี้ยงชีพ เพราะดำรงชีพอยู่ได้เพราะบุญกุศลของตนเองที่ได้ทำไว้แล้วในอดีต และมีอายุขัยอย่างต่ำเป็น ล้านปีก็โลกมนุษย์  ถึงแม้พุทธศาสนาในโลกมนุษย์หมดสิ้นไปแล้ว แต่ในเทวโลกพระพุทธศาสนายังมั่นคงอยู่หาได้สูญสิ้นไปเร็วเหมือนโลกมนุษย์  และขณะนี้พุทธศาสนาบนเทวโลกนั้น เจริญว่าโลกมนุษย์นั้นเป็นไหนๆ เทียบกันไม่ได้เอาเสียเลย เพียงแต่บนเทวโลกนั้นไม่สามารถสร้างบุญบารมีได้ดีเยียมเท่ากับโลกมนุษย์

                                จบตอนที่ 3     กลับไปหน้าแรก   100.html