ทบทวนการฝันเห็นผีและการโดนผีอำเพื่อเป็นกรณีศึกษาของผู้อื่นและตัวเองในภายหลัง
จากการที่ข้าพเจ้าสังเกตตัวเองตั้งแต่เด็กจนอายุ
40 ปี
แยกแยะการโดนผีอำได้ดังนี้
1) โดนผีอำเมื่ออดนอนแล้วมานอนชดเชยในตอนกลวงวันหรือบ่ายและอากาศร้อนอบอ้าว
2) โดนผีอำเวลาคลื้มก่อนที่จะหลับ เนื่องจากความเครียดจากงานหรือจากการเดินทาง
3) โดนผีอำเมื่อนอนชดเชยมากเกินปกติแต่ยังฝืนนอน
4) โดนผีอำเวลามีไข้และนอนในห้องที่อับ หรือที่ร้อนอบอ้าว
5) โดนผีอำในขณะนอนตามปกติ
ซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังนี้
ข้อที่ 1) โดนผีอำเมื่ออดนอนแล้วมานอนชดเชยในตอนกลวงวันหรือบ่ายและอากาศร้อนอบอ้าว
เรื่องที่ 1) เมื่ออายุประมาณ 13 หรือ 14 ปี
เพื่อนของข้าพเจ้าชื่อ พิชัย ได้ชวนข้าพเจ้าไปเทียวงานกรีฑาประจำปีของจังหวัดพัทลุง
ซึ่งจะจัดทุกปีและจะมีการแข่งกีฬาของทุกโรงเรียนแบ่งกันเป็นเขตๆ และจะมีงานมโหรสพตลอดทั้ง
7 วัน 7 คืน ซึ่งตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 13 หรือ 14 ปี
ข้าพเจ้าไม่เคยเที่ยวอย่างนี้มาก่อน จึงตกลงไปเทียวกับเพื่อน แต่ติดตรงที่ว่าพ่อกับแม่ของข้าพเจ้าคงไม่ยอมให้ไปแน่นอน เพราะพ่อข้าพเจ้าเลี้ยงลูกทุกคนโดยไม่ให้มีอิสระในการคิดในการกระทำต้องเป็นไปตามกรอบที่ท่านวาดไว้ ข้าพเจ้าจึงเป็นเด็กที่กลัว พ่อและแม่
แต่วิสัยเด็กที่ยังชอบเทียวชอบสนุกและดูสิ่งแปลกๆ ทำให้เกิดมีความกล้าที่ไปขออนุญาติจากพ่อ
ก็ได้รับคำปฏิเสจแต่อย่าง ไม่เด็ดขาด จึงรู้ว่าในกรณีอย่างนี้ถ้าหนีไปเที่ยวกลับมาคงแค่โดนด่าไม่โดนตี
จึงหนีไปเทียวกับเพื่อนในเย็นวันนั้น และการขออนุญาติพ่อแม่
ก็เป็นการบอกให้ทราบจะได้ไม่ต้องตามหาข้าพเจ้าในกรณีที่ไม่เห็นข้าพเจ้าในตอนกลางคืน เมื่อข้าพเจ้าโดยสารรถประจำทางถึงตัวเมือง
ก็ค่ำพอดี
ข้าพเจ้ามีความตื่นเต้นมากเมื่อเห็นแสงสีในตัวเมื่องเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนในยามค่ำคืน และเมื่อเข้าในบริเวณงานมันชั่ง
แปลกตระการตาอะไรอย่างนั้น
ใจนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นทั้งที่เงินในกระเป่ามีอยู่แค่ 10 กว่าบาท และจะกลับบ้านไม่ได้ต้องเที่ยวจนสว่าง
เพราะยามค่ำคืนรถประจำทางจะไม่วิ่งรับโดยสาร ด้วยความเป็นเด็กคิดถึงความสนุกเป็นที่ตั้งไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา
ด้วยเงิน
10 ก่วาบาท
ชื่อขนมกินได้เล็กๆ น้อย ๆ และเล่นของเล่น 2-3 อย่างเงินก็หมดแล้วไม่ทันถึงเที่ยงคืน คราวนี้จึงเดินเตร่ไปเตร่มาดูโน้นดูนี้
ความตื่นเต้น มันก็เริ่มหายไปเมื่อเวลาถึงตี 1 ทั้งง่วงนอนทั้งเหนื่อยทั้งหิว
แต่ความง่วนนอนและเหนื่อยนั้นบดบังความหิวไปอย่างสิ้นเชิง ข้าพเจ้าก็ยังฝืนทนเพราะไม่รู้ว่าจะไปนอนที่ไหนกลับบ้านก็ไม่ได้
ต้องทนอยู่อย่างนั้นถึงตี 5
กว่าๆ จึงจะมีรถโดยสารประจำทางกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านก็ 6 โมงเช้า
ต้องรีบขนของจัดของให้แม่ขายของชำในตลาดของตำบล เพราะเป็นหน้าที่จะทำเป็นประจำทุกวัน
จึงเพียงแค่ โดนพ่อด่าแต่ไม่โดนตี ประมาณ 7 โมงเช้าเมื่อทุกอย่างเสร็จ ก็วิ่งขึ้นไปนอนทันที่
โดยไม่รอทานข้าวเช้าเพราะรอไม่ไหวแล้ว นอนหลับ สนิทไปจนถึง 11 โมง รู้สึกตัวขึ้นมากระดุกกระดิกตัวไม่ได้
แต่ลืมตาได้เห็นแขนซ้ายของตนเองที่นอนกางออกไปและหน้า ก็นอนหัน ไปทางนั้น
เห็นเส้นเลือดที่แขนปูดขึ้นมาอย่างชัดเจนเกือบทุกเส้นสักพักใหญ่เส้นเลือดก็ยุบลงเป็นปกติ สามารถเคลื่อนตัวเองได้
จึงลุกขึ้น ไปฉี่ ขณะที่ฉี่อยู่เกิดวูบหายไปเองโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวเองว่านอนอยู่จมกองฉี่ของตนเอง
เมื่อได้ยินเสียงพี่ชายคนโตที่สติไม่ดีเรียกชื่อ ทั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าจะไม่พยายามเที่ยวแบบนี้อีกเลย
เรื่องที่ 2) เป็นตอนอายุ 39 ปี และได้ผ่านการฝึกสติกับสมาธิมามากแล้ว
ข้าพเจ้าเปิดเบอร์โทรศัพย์ ที่บ้านให้คนที่สนใจกรรมฐาน
โทรเข้ามาเพื่อปรึกษาหรือสนทนาธรรมเกี่ยวกับการฝึกสติและสมาธิ บางครั้งก็สนทนากันจนดึกและกลางวันก็ต้องไปทำงานตามปกติ
จึงต้องมานอนชดเชยในวันเสาร์หรืออาทิตย์ในช่วงกลางวันหรือในตอนบ่าย และในบ่ายวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นรู้สึกตัวขึ้นมา แต่ไม่สามารถ
กระดุกกระดิกเคลื่อนตัวได้ จึงรู้ว่าตัวเองมีอาการผีอำจึงวางใจให้สงบไม่ไปตกใจกลัวและไม่ดิ้นรนเพื่อเคลื่อนใหวตัวเองสักพักหนึ่ง แล้วคอยทดลองเตลื่อนแขนตนเองและศีรษะจึงรู้สึกตัวเคลื่อนไหวได้ทั้งหมด
ข้อที่ 2) โดนผีอำเวลาคลื้มก่อนที่จะหลับ เนื่องจากความเครียดจากงานหรือจากการเดินทาง
เรื่องที่ 1) มีเรื่องอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ 2537
ข้าพเจ้าต้องออกไปต่างจังหวัดบ่อยๆ เพื่อไปแนะนำระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วงนั้นได้ไปที่
ห้างสหะไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช พอเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงช่วงเช้าก็ไปทำงานทันที
เมื่อถึงช่วงเย็นก็มาเปิดห้องที่โรงแรม ประมาณ 3 ทุ่มหลังจากดูข่าวในทีวีเสร็จก็เริ่มง่วงนอน
ห้องนอนของโรงแรมเกรด A นั้นมีพร้อมทุกอย่างจึงไม่น่าจะมีปัญหาในสิ่งที่ ไม่สดวกสบาย
และข้าพเจ้าก็ได้พักมาหลายโรงแรมและหลายจังหวัดเป็นเวลาหลายคืนมาแล้ว เรื่องการนอนไม่หลับเพราะแปลกสถานที่
จึงไม่เป็นปัญหาในการนอนของข้าพเจ้า และตามปกติก่อนนอนข้าพเจ้าจะให้วพระและกำหนดกรรมฐานก่อนเข้านอนเป็นกิจวัตร์ เมื่อข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนและกำหนดกรรมฐานไปพอคลื้มตัวจะหลับ
มันเหมือนผ้าปูที่นอนสีขาวของเบาะนุ่มๆ กำลังหดเข้ามาคลุ่มตัว ข้าพเจ้าและกดดันมาที่ตัวข้าพเจ้าพร้อมทั้งได้ยินเสียงร้องของผู้หญิง ตอนแรกมีความกลัวจิตข้าพเจ้าจึงดิ้นรนแต่พอได้สติ ก็ปล่อยใจ ให้สงบสักพักแล้วค่อยพลักความกดดันนั้นออกไป มารับรู้สึกทั่วตัว แล้วจึงเริ่มนอนใหม่แต่ครั้งนี้ภาวนาแผ่เมตตาจนหลับ ตื่นมาตอนเช้า ตามปกติ
และพักห้องนี้อยู่หลายคืนจนกลับกรุงเทพฯ
ข้อที่ 3) โดนผีอำเมื่อนอนชดเชยมากเกินปกติแต่ยังฝืนนอน
เรื่องที่ 1) เมื่อปลายปี 2529
ข้าพเจ้าพักอยู่ที่แฟลตคลองจั่น
และมีอาชีพเป็นติวเตอรอยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงในช่วงเช้า ของวันหนึ่ง สอนติวเป็นเวลาหลายชั่วโมง
พอตกตอนบ่ายก็หมดชั่วโมงติวจึงกลับที่พัก เห็นว่ามีเวลาเหลืออยู่จึงนอนพักผ่อน บนโซฟา ทำอย่างนี้บ่อยเมื่อต้องสอนช่วงเช้ามาอย่างหนัก ส่วนผนังที่ติดกับโซฟาบนฝาผนังก็ได้ติดหิ้งพระแบบแขวน บนหิ้งพระนั้นก็มีพระ อยู่หลายองค์ แต่มีอยู่องค์หนึ่งที่ภรรยาพึ่งขอมาจากหลวงพ่อได้มาก็หลายวันแล้ว และหลวงพ่อบอกว่าไม่รู้โยมที่ไหนเอามาทิ้งไว้ที่วัด
เป็นพระหินทรายที่เก่ามากแล้วเป็นทรงสมัยเชียงแสนหน้าตักกว้างประมาณ 6 ถึง 8 นิ้ว ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้านอนบนโซฟาหิ้งพระก็อยู่
ข้างบนหน้าข้าพเจ้าพอดี ข้าพเจ้าก็หลับไปพักใหญ่ประมาณชั่วโมงกว่าเมื่อตื้นขึ้นมาก็ยังฝืนนอนต่อคือขี้เกียจลุกขึ้น เลยคลื้มหลับไปอีก แต่ยังไม่ทันหลับสนิท
ก็เสมื่อนมีศรีษะคนเท่ากับลูกมะพร้าวตกลงมาจากหิ่งพระอย่างทันทีทันใด ตกลงบนอกข้าพเจ้าแล้วทับกดอึดอัด จุก ไปหมด
ข้าพเจ้าตกใจกลัวพยายามดิ้นรน แต่พอได้สติข้าพเจ้าก็รวมสมาธิผลักออกไปจนรู้สึกตัวขึ้นมา
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เล่าให้ ภรรยาฟัง ภรรยาก็เล่าให้ฟังว่าเขาก็ได้ฝันติดต่อมา
2-3 คืน
ว่ามีศรีษะอยู่หัวหนึ่งลอยไปลอยมาในห้องพัก ข้าพเจ้าต้องมานั่งพิจารณาอยู่ว่า ตามปกติข้าพเจ้าก็ไห้วพระสวดมนต์และแผ่เมตตาเป็นประจำไม่น่าจะเกิดปัญหาอย่างนี้ จึงบอกให้ภรรยาเอาพระองค์นั้นไปคืนหลวงพ่อ
ข้อที่ 4) โดนผีอำเวลามีไข้ หรือนอนในห้องที่อับหรือที่ร้อนอบอ้าว
เรื่องที่ 1) เมื่อปี พ.ศ 2527
หลังจากที่ข้าพเจ้าทำกรรมฐานอย่างเอาจริงเอาจังมาแล้ว 2 ปี
และข้าพเจ้าได้พักอาศัยอยู่กับบ้านเพื่อน ในกรุงเทพฯ ที่มาจากจังหวัดเดียวกัน ซึ่งพ่อแม่เพื่อนได้ชื้อบ้านให้เพื่อนหนึ่งหลังเพื่อเรียนหนังสือ
และน้องชายของเพื่อนคนนี้โดน ฆ่าตาย ตอนย่างเข้าวัยรู่น เพื่อนจึงเอากระดูกน้องชายมาไว้บนที่โต๊ะหมู่บูชาบนชั้นสองของบ้าน และในวันหนึ่งข้าพเจ้าเป็นไข้หวัด
เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาข้าพเจ้าเห็นว่าอาการป่วยยังมีอยู่จึงนอนต่อ เพื่อให้อาการป่วยดีขึ้น
(หมายเหตุ โดยปกติเวลาข้าพเจ้าเป็นไข้หวัดเล็กๆ
น้อยๆ
ข้าพเจ้าจะนอนกำหนดกรรมฐานจนให้เหงือตกอาการป่วยก็จะหายเป็นปกติ
แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้กำหนดกรรมฐาน) กะว่าจะนอนพักให้มาก
จึงหลับไปเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาลืมตาขึ้นแต่ยังไม่เปิดกว้าง ตัวก็กระดุกระดิกไม่ได้และตาก็ค้างอยู่อย่างนั้น มองไปบน
คานปูนของบ้านชึ่งข้างบนเป็นชั้นสองเป็นที่ทั้งโต็ะหมู่ และตรงมูมนั้นข้าพเจ้าเห็นน้องชายของเพื่อนในลักษณะของผี
ลอยติดอยู่บน คานปูน ทำท่าเหมือนกระโดดมาที่ข้าพเจ้าพร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกกดดันมาที่ข้าพเจ้าๆ จึงต้องรวบรวมสมาธิผลักออกไป
จึงสามารถเคลื่อนไหวได้และตาสามารถลืมได้กว้างเต็มที่ภาพนั้นก็หายไป แล้วบังเกิดความคิดขึ้นมาว่า
เรามาอาศัยบ้านญาติของเขาก็เสมือน เป็นบ้านเขา เข้าจะแกล้งเราบ้างก็อย่าไปถือสาหรือโกรธเขาเลย
เรื่องที่ 2) เกิดเมื่อปี 2541
ข้าพเจ้ามีอาการป่วยเป็นไข้หวัด
จึงนอนบนโซฟาในช่วงบ่ายที่บ้านเนื่องจากบ้านเป็นกระจก ถึงมีม่านกั่น แสงแดด แต่ความร้อนก็สามาถส่องผ่านมาได้บ้างจึงทำให้อบอ้าว ข้าพเจ้าหลับได้สักพักใหญ่เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาไม่สามารถตื่น
ขึ้นมาได้
มีแต่ความรู้สึกที่โดนกดของความมืดมัวเข้ามาในจิตแต่มีความสว่างอยู่ที่ตรงกลางประมาณเท่าฝ่ามือ สติข้าพเจ้าจึงรู้ทันที่ว่าลักษณะ
ผีอำกำลังบังเกิดขึ้น ข้าพเจ้าเลยปล่อยใจให้สงบเข้าสมาธิลึกลงไป ความกดดันอันมืดมัวยังตามลงไปอีกแต่กำลังแรงของความกดดัน
น้อยลงมากข้าพเจ้าจึงวางเฉยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาพักหนึ่งความมืดมัวนั้นยังคงเหมือนเดิม จิตของข้าพเจ้าเกิดนึกถึงพุทธเจ้าขึ้นมา
แสงสว่างที่เท่าฝ่ามือก็สว่างจ้าขึ้นกระจ่ายออกไปผลักความมืดมัวออกไปด้วยปิติเล็กๆ น้อยๆ
จึงสามารถเคลื่อนไหวตัวได้
ข้อที่ 5) โดนผีอำในขณะนอนตามปกติ
เรื่องที่ 1) เมื่ออายุประมาณ 10 ปี
ข้าพเจ้าได้ฝันว่าได้มีผีตัวหนึ่งได้มาจับตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวิ่งหนีหรือจะเคลื่อนไหวตัว
ไม่ได้เหมือนโดนตรึกเอาไว้
ข้าพเจ้าตกใจกลัวอย่างสุดกำลังจนถึงที่สุดใจข้าพเจ้าก็ภาวนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ขึ้นมาเอง อย่างรวดเร็วจนอาการโดนตรึกนั้นคลายออกแล้วมารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
เรื่องที่ 2) เมื่อปี พ.ศ 2526 พวกเพื่อนๆ
ที่เรียนด้วยกันในมหาวิทยาลัยรามคำแหง จะจัดงานวันเกิดเพราะในเดือนนั้นมี เพื่อนเกิดหลายคน
จึงจะไปจัดงานวันเกิดรวมกันที่บ้านเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งพ่อของเขามียศพลตรี บ้านอยู่ทางจังหวัดนนทบุรี
ไปกัน 10
กว่าคนเมื่อจัดงานเสร็จจะกลับหอพักก็คงลำบากเพราะไกลมาก จึงต้องนอนค้างคืนบ้านเพื่อนแต่บ้านเพื่อน ไม่สามารถรองรับเพื่อน
ทั้งหมดได้ ยังมีบ้านญาติของเพื่อนคนนี้ที่ว่างอยู่ๆ
ตรงกันข้าม ชึ่งญาติของเพื่อนเป็นผู้ช่วยทูตจึงต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อนจึงเปิด บ้านให้เพื่อนบางส่วนไปนอนในบ้านหลังนั้นรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยแต่ให้ทุกคนอาบน้ำที่บ้านของเพื่อน หลังจากที่ทุกคนเข้านอนหมดแล้ว ข้าพเจ้าเกิดปวดฉี่
จึงลงมาฉี่ที่ห้องน้ำเปิดน้ำล้างไม้ล้างมือเสร็จข้าพเจ้าก็ขึ้นไปนอนรวมกับเพื่อนๆ คืนนั้นข้าพเจ้ากึ่งหลับกึ่งตื่นทั้งคืน เพราะได้ฝันว่า
ได้มียักษ์ตัวใหญ่หนึ่งตนและคนตัวใหญ่อีกหนึ่งคนมาชี้หน้าว่าข้าพเจ้า และจะเอาตะบองตีข้าพเจ้า
ๆ จึงจับตะบองขึ้นมาอีก อันหนึ่งตีกับสองตนนั้น ตีกันทั้งคืนจนตื่นเช้าขึ้นมาข้าพเจ้าตื่นเป็นคนแรก
จึงกะว่าจะลงไปล้างหน้าเป็นคนแรก เมื่อลงไปถึงห้องน้ำน้ำ ไหลเต็มไปหมด
สาเหตุเนื่องจากในตอน 3-4
ทุม ในหมู่บ้านนั้นมีคนใช้น้ำมากน้ำจึงไม่คอยไหล และก็อกน้ำนั้นไม่ได้ใช้มาเป็นเดือนๆ
จึงฝืด ดังนั้นเมื่อตอนกลางคืนตอนที่ข้าพเจ้าลงมาฉี่ และข้าพเจ้าบิดก็อกน้ำจนน้ำไม่ไหลแล้วเนื่องจากความแรงของน้ำนั้นน้อย
พอเที่ยงคืนไปแล้ว กำลังแรงดันของน้ำมากขึ้นทำให้น้ำไหลออกจากก๊อกทั้งคืน
เจ้าที่และผีเรือนจึงมาเตือนข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องจึงทะเราะตีกันทั้งคืน
เรื่องที่ 3) เมื่อปี พ.ศ 2527
ข้าพเจ้าออกจากกรรมฐานใหม่ๆ ได้มาพักที่หอพักหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง มีอยู่คืนหนึ่งตอนใก้ลรุ่ง ข้าพเจ้ากำลังจะตื่นขึ้นมารู้สึกตั้งตัวแต่บังเกิดเสมือนมีเงามืดที่ใหญ่โตกำลังเคลื่อนลงมาทับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเข้าสมาธิหดจิตตัวเอง
ให้เล็กลงจนเป็นจุด อยู่ในกลางท้องของตนเอง ส่วนเงามืดนั้นก็ทับร่างกายข้าพเจ้าไว้ทั้งหมด
ยกเว้นที่จุดของจิต แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียง ตะโกนว่า มันเป็นปีศาจ
จากจุดของจิตนั้นข้าพเจ้าจึงทำการแตะๆๆ จนเงามืดนั้นถอยออกไปๆ จนจิตข้าพเจ้าเต็มร่างกายรับรู้
ความรู้สึก ทั้งหมดออกจากภวังค์
เรื่องที่ 4) เมื่อปลายปี พ.ศ 2529
ข้าพเจ้าพักอยู่ที่แฟลตคลองจั่น มีอยู่รุ่งวันหนึ่งประมาณ ตี 5
พอจิตข้าพเจ้าพลิกจากหลับขึ้นมาจะตื่น ก็เสมื่อนโดนอะไรล็อกเอาไว้ไม่ให้ตื่น แล้วเสมือนว่าที่จุดขอบของจักรวาล
มีลำแสงลักษณะคล้ายกระแสไฟฟ้าพุ่งมาตรงกลางศรีษะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็พยายามรวบรวมสมาธิผลักออกไป
แต่ไม่สามารถกระทำได้เหมือนโดนล็อกเอาไว้ แล้วพลังงานคลืนไฟฟ้านั้นเริ่มเพิ่มขึ้น ในตัวข้าพเจ้าเหมื่อนกับขวดน้ำเปล่าๆ เมื่อเอาน้ำใส่ลงในขวดน้ำเริ่มเพิ่มขึ้นจากฐานของขวด เช่นเดียวกันในร่างของข้าพเจ้าคลื่นไฟฟ้า ก็ท่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงศรีษะเต็มถึงจุดที่พลังงานนั้นเข้ามาในร่างกายข้าพเจ้าแล้วจุดนั้นปิดทันที่ ข้าพเจ้าจึงรวบรวมสมาธิอีกครั้ง เพื่อที่จะพลักดันพลังงานทั้งหมดนี้ออกจากร่างกาย แต่ไม่สามารถผลักออกไปได้
จิตจึงมารับรู้ร่างกายทั้งหมดตื่นขึ้นมา
เรื่องที่ 5) เมือประมาณต้น ปี 2530
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่แฟลตคลองจั่น ในคืนหนึ่งประมาณ ตี 3-4 ข้าพเจ้านอนอยู่ และภรรยานอน อยู่ด้านขวามือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกตัวขึ้นมามีอาการอึดอัดเคลื่อนไหวตัวไม่ได้
จึงดิ้นรนต่อสู่อยู่อย่างนั้น ลืมกำหนดเข้าสมาธิ ต่อสู่ได้สักพัก ก็เหมือนมีอะไรมาเขย่าให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาหลุดจากความอึดอัดนั้น ก็เห็นภรรยาเอามือเขย่าขาข้าพเจ้าเพื่อให้ตื่นขึ้น
แล้วภรรยาเล่าให้ฟังว่า พอตื่นขึ้นมาลืมตาไปที่ข้าพเจ้านอนอยู่
เห็นเงาขาวๆ จางๆ ในความมืดสะรั่วๆ เหมือนรูปคน ลอยอยู่ในท่านอนบนร่างของข้าพเจ้า ห่างจากร่างข้าพเจ้าประมาณ 2 คืบกว่าๆ และเห็นหน้าตาข้าพเจ้ากำลังอึดอัดเหมือนกับคนที่กำลังต่อสู่กับอะไรสักอย่าง จึงหลับตาเพื่อ
จะมองใหม่ให้ชัดเจน แต่เงาขาวนั้นหายไปและยังเห็นข้าพเจ้ากำลังอึดอัดอยู่ จึงเอื้อมมือไปเขย่าปลุกข้าพเจ้าให้ตื่นขึ้นมา
กลับหน้าแรก 100