เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ ในช่วง 4 อสงไขย
        
สุเมธดาบส
               
กัปแรกในตอนต้นอสงไขยที่ 17 ที่เพียรสร้างบารมีมา เป็นสารมณฑกัป คือเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ มีดังนี้
                        1.พระตัณหังกรพุทธเจ้า
                        2.พระเมธังกรพุทธเจ้า
                        3.พระสรนังกรพุทธเจ้า
                        4.พระทีปังกรพุทธเจ้า
           
พระอนิยตโพธิสัตว์ ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์สมัยของ พระตัณหังกรพุทธเจ้า พระเมธังกรพุทธเจ้า และพระสรนังกรพุทธเจ้า แต่หาได้รับพุทธพยากรณ์ไม่ เพราะวาสนาบารมียังไม่สมบูรณ์
           
เมื่อกาลเวลาจะถึงสมัยพุทธภูมิ ของสมเด็จพระสัมมาทีปังกรพุทธเจ้า   อนิยตโพธิสัตว์ ก็จุติเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล ซึ่งเป็นบุตรโทน มีทรัพย์สินมากมาย เป็นผู้เชียวชาญในเชิงมนต์ และรู้แจ้งในไตรเภท มีนามว่า สุเมธ  เมื่อบิดามารดาได้สิ้นชีวิตหมดแล้ว ท่านสุเมธ ก็ดำหริกับตัวเองด้วยจินตามยปัญญาว่า  "ทรัพย์สิ้นที่เรามีมากมายนั้น ช่วยอะไรได้เพราะชีวิตนี้ก็ต้อง แก่ ต้องเจ็บและต้องตาย  แล้วทรัพย์สินก็ไม่สามารถติดตามไปได้ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดโดยไม่รู้ถึงจุดหมายปลายทาง   เราจึงห่วงอะไรกับสิ่งที่เป็นภายนอก ควรแสวงหาโมกธรรม อันเกษม เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ในจิตใจเสียดีกว่า  เมื่อท่านสุเมธคิดได้ดังนี้ จึงตัดสินใจบริจากทรัพย์สินอันมากมาย เป็นเวลาเป็นเดือนจึงหมดสิ้น เหลือแต่บริขารออกบวชเป็นดาบส  สุเมธดาบสได้สร้างอาศรม อยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง  บำเพ็ญภาวนาจนบรรลุ ถึงฝั่งอภิญญา 5 และสนใจอยู่ในการเข้าสมาบัติเป็นประจำ  เมื่อสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ ให้ก้าวล่วงพ้นจากภพ จากวัฐฏสงสาร และเสียงกล่าวถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ กระจรไกลไปทั่ว แต่สุเมธดาบสหาได้รับรู้ไม่เพราะมัวแต่สนใจเข้าสมาบัติ
           
ณ วันหนึ่งสุเมธดาบสออกจากฌานสมาบัติ ประสงค์รสอาหารที่ต่างจากผลไม้ จึงดำริที่จะบิณฑบาตในเมื่อง จึงเข้าอภิญญาเหาะไปในนภากาศ  ซึ่งในขณะนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงเสด็จโปรดประชาสัตว์  มีผู้คนรอรับเสด็จมากมายเรียงรายกันเป็นทิวแถว เมื่อสุเมธดาบสเหาะมาทางอากาศ ก็ได้ยินเสียงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมา ๆ และเห็นหมู่เหล่าเทพเทวดา ทำการพุทธบุชากันมากมายด้วยทิพย์จักษุ เมื่อได้ยินได้เห็นเหล่ามนุษย์และเทพเทวดาทำพุทธบุชา จึงบังเกิดความยินดีเป็นอย่างยิ่ง จงเหาะลงบริเวณ ที่ฝุงชนเรียงแถวกันรอรับเสด็จ และแลเห็นฝุงชนกำลังทำทางดำเนิน  รับเสด็จให้ราบเรียบ  แต่ละท่านก็แบ่งเป็นส่วนๆ  สุเมธดาบสก็มีความประสงค์ที่จะสร้างบุญกุศลแด่องค์สมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้า  จึงขอแบ่งที่มาส่วนหนึ่ง ชาวบ้านก็แบ่งให้ที่ส่วนหนึ่ง สุเมธดาบสมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงนำดินขนทราย มาทำทางดำเนินให้ราบเรียบ แต่ตรงส่วนที่สุเมธดาบสทำนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อมีน้ำขัง สุเมธดาบสทำทางเกือบเสร็จแล้ว เหลือพืนที่เพียง 1 ช่วงตัวที่ยังมีน้ำขังอยู่ และพระพุทธองค์ก็กำลังเสด็จมา ซึ่งจะขนดินทรายมาถมก็ไม่ทันการณ์ จึงเอาลำตัวนอนคว่ำปิดช่วงที่น้ำขังนั้น ก็มีจิตจินตนาการด้วยความปีติยินดีไปว่า " เราได้ทำมหากุศลนี้แก่พระพุทธองค์ และเหล่าพระสาวก เพื่อประสงค์ให้ตรัสรู้ เป็นดังพระพุทธองค์ในภายหน้า "  ขณะนั้นพระทีปังกรพุทธเจ้าทรงเสด็จมาถึงเบื้องหน้า สุเมธมาบสก็กราบทูลว่า "ขอให้พระพุทธองค์ทรงดำเนินไปบนหลังข้าพระองค์ ไม่ให้พระบาทของพระองค์เปียกด้วยโคลนโตม" ครั้นนั้นพระพุทธองค์ทรงพิจารณาด้วยพระสัพพัญญูตาญาณ แล้วตรัสพระวาจา แก่ชาวประชาพุทธบริษัททั้งหลายในที่นั้นว่า
       
     "ถ้าท่านทั้งหลายแคล้วคลาดจากอมตธรรมไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในศาสนาของเรานี้ และยังต้องท่องเทียวในภพสงสาร นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็จงปรารถนาให้ใด้บรรลุในศาสนาของดาบสนี้เถิด ในอีก 4 อสังไขย แสนกัปดาษสผู้นี้จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลก มีนามว่า  พระศรีศากยมุนีโคดม พุทธเจ้า หลังจากนั้นทั้งมนุษย์และหลายเทพเทวดาก็กล่าวสาธุการ สนั่นดังไปทั่ว
       
ขณะนั้นก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามากราบแทบพระบาทของพุทธองค์ แล้วกล่าววาจาว่า " ข้าพระบาทได้แลเห็นท่านดาบส ลงมาจากนภากาศ ข้าพระบาทมีความศรัทธาในท่านดาบส    เห็นท่านดาษสสร้างทางและทอดกายเป็นสะพาน ข้าพระบาทมีปีติและศรัทธายิ่งขึ้น และเมื่อพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ ท่านดาบสว่า จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ข้าพระบาทศรัทธาปิติยินดียิ่งขึ้น ก็มีใจรักปราถนาเป็นคู่สูขคู่ทุกข์คู่อยาก ช่วยสร้างสมบารมีให้สมบูรณ์"
       
เมื่อพระพุทธองค์ตรวจสอบด้วยพระสัพพัญญูตาญาณแล้วจึงตรัสวาจาพยากรณ์ว่า "ความปรารถนา ของนางจะสำเร็จตามปรารถนาจะได้เป็นพระชายาทรงนามว่า ยโสธารา เหล่ามนุษย์และเทพยดาต่างสาธุการดังก้อง แล้วพระพุทธองค์ยกพระบาทเบื้องขวาดำเนินไปบนกายของสุเมธดาบส ตามด้วยพระอริยะสาวก เหยียบกายสะพานนั้นไป  ถ้าในขณะที่สุเมธดาบสทอดกายเป็นสะพาน และดำริในใจก่อนที่ว่า "ปรารถนาละกิเลสบรรลุถึงนิพพานโดยเร็วพลัน" เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึง พระพุทธองค์ก็จะแสดงธรรมให้ฟังเพี่ยงกึงบทคาถา  สุเมธดาบสก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในทันที่ แต่เมือสุเมธดาบสปรารถนาในพระโพธิญาณอย่างไม่ย่อท้อ พระพุทธองค์จึงตรัสพุทธพยากรณ์
        
เมื่อพระภิกษุสงฆ์เดินไปหมดแล้ว นิยตโพธิสัตว์สุเมธดาบส (นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตวที่เทียงแท้แน่นอน) ก็ลุกขึ้นแล้วเหาะไปที่สงบ  แล้วนั่งพิจารณาตัวเองด้วยอภิญญาหามีมหาฤาษีใดเทียบได้ พิจารณาบารมีทั้ง 30 ที่เพียรได้บำเพ็ญมา เมื่อครบถว้นสมบูรณ์ ก็บังเกิดแผ่นดินสั่นหวันไหว แล้วเหล่าเทพเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุก็ประชุมกันสักการะด้วยทิพย์สุคนธมาลัย แล้วกล่าวอำนวยพรว่า " ท่านสุเมธดาษส วันนี้ท่านได้รับพุทธยากรณ์แห่งองค์สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า ท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนในอณาคต คำตรัสพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้แน่นอนไม่มีเป็นสอง  ขอให้ท่านดาบสทรงบำเพ็ญบารมีให้ถึงที่สุด เพื่อประโยชน์แก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย" เมื่อสุเมธดาบสนิยตโพธิสัตว์ได้เห็นหมู่มนุษย์และเทพเทวดาทำสักการะบูชา และกล่าวคำอวยพรเป็นอันมาก ก็มีความยินดีปรีดา
จึงอธิษฐานมั่นด้วยวิริยะบารมี  หน่วงเอาพุทธนุสติเป็นอารมณ์ นมัสการไปยังทิศ ซึ่งพระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จอยู่ แล้วเหาะไปยังอาศรมแห่งตน เจริญอภิญญาสมาบัติมิให้เสื่อม สิ้นอายุขัยไปอุบัติเกิดในพรหมโลก

                หลังจากนั้นมาเป็น สูญอสงไขย ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลยถึง 1 อสงไขย พระนิยตโพธิสัตว์ก็เวียนเกิดตายอย่างนับไม่ถ้วน

            แล้วมีอยู่กัปหนึ่งเป็นสารกัป เป็นกัปที่บังเกิดพระพุทธเจ้าเพียง 1 พระองค์พระนามว่า พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า  ฝ่ายพระนิยตโพธิสัตว์ทรงเกิดเป็น  พระเจ้าวิชิตาวีบรมจักรพรรดิ เมื่อพระจักรพรรดิได้พบพระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิทรงศรัทธาเลื่อมใสกระทำการต้อนรับ  แล้วได้ทรงบำเพ็ญมหาทานแด่พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์  เป็นเวลาตลอดไตรมาส พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า ทรงกรทำพุทธพยากรณ์ซ่ำอีกว่า
               
"พระวิชิตาวีจักรพรรดิ์ ต่อไปในอนาคตจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนดั่งคถาคต ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นที่เที้ยงแท้"
           
พระจักรพรรดิ์ทรงศรัทธาเลื่อมใส จึงทรงสละราชสมบัติ และทรงบรรพชาในสำนักของพุทธองค์ ทรงเล่าเรียนพระไตรปีฏก และทรงบำเพ็ญกรรมฐาน จนสำเร็จอภิญญา ครั้นเมื่อพระองค์สวรรคต ก็ทรงอุบัติเกิดเป็นพระพรหมบนพรหมโลก

                หลังจากนั้นมาเป็น สูญอสงไขย ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลยถึง 1 อสงไขย พระนิยตโพธิสัตว์ก็เวียนเกิดตายอย่างนับไม่ถ้วน
 
           
แล้วอยู่มากัปหนึ่ง เป็นสารมัณฑกัป คือจะมีพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 4 พระองค์
  
                       1.พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
                        2.พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
                        3.พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
                        4.พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
           
พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
       
สมัย พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ประกาศพระสัทธรรม ให้แก่หมู่มวลสัตว์ทั้งหลายได้รู้แจ้ง ไปทั่วทั้งไตรภพ ในตอนนั้นพระนิยตโพธิสัตว์  ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า สุรุจิพราหมณ์ ซึ่งศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์เป็นอย่างมาก
       
วันหนึ่ง สุรุจิพราหมณ์ ได้ไปยังสำนักของพระพุทธเจ้า ได้พังพระธรรมเทศนา จากพระพุทธองค์   ด้วยความปีติและศรัทธา จึงได้อาราธนาว่า "ข้าแต่พระพุทธองค์ วันพรุ้งนี้ ข้าพระบาทของอาราธนา พระพุทธองค์พร้อมทั้งเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ทั้งปวงไปรับอาหารบิณฑบาตของข้าพระบาท พระเจ้าข้าพระสุมังคละศาสดาทรงรับอาราธนา
    
เมื่อสุรุจิพราหมณ์กลับมาถึงเรือน ก็คิดขึ้นว่า " ของไทยทานต่างๆ ทั้งภัตตาหาร และไตรจิวร ที่จะถวายแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก อันมีพระพุทธองค์เป็นประธาน  เราก็มีพอถวายได้ทั่วทุกองค์ แต่อาสนะ ที่รับพระภิกษุแสนกว่ารูป รู้สึกว่าจะคับแคบ จะทำอย่างไรดี ?"  ทำให้สุรุจิพราหมณ์ครุ่นคิดวิตกกังวลอยู่
   
แต่ด้วยอำนาจอภินิหารทานบารมีของพระโพธิสัตว์ ทำให้พระอินทร์ร้อนอาสน์  เมื่อพระอินทร์ตรวจดูก็ทรงรู้ว่า
    "
พระบรมโพธิสัตว์สุรุจิพราหมณ์ วิตกว่า อาสระรองรับพระภิกษุสงฆ์เรือนแสนไม่เพี่ยงพอในกาลนี้   เราจะต้องไปอนุเคราะห์ในบุญนั้น" พระอินทร์ก็แปลงเพศเป็นนายช่าง ถือขวานเดินมาข้างหน้าพระโพธิสัตว์ แล้วพูดว่า
        "
ท่านมีความต้องการจ้างทำงานสิ่งใดบ้าง  เราเป็นช่างกำลังหางานทำ"
  
สุรุจิโพธิสัตว์ กำลังวิตกอยู่จึงกล่าวว่า  "ท่านทำอะไรได้บ้าง?"
   
พระอินทร์แปลงตอบว่า " เราทำการส่องสร้างได้ทั้งหมด"
  
สุรุจิโพธิสัตว์คลายวิตกไปหน่อยหนึ่ง จึงถามว่า "ท่านสร้างศาลา และอาสานะ รองรับพระแสนกว่ารูปได้หรือเปล่า ?"
   
พระอินทร์แปลงตอบว่า "เราทำได้ตามที่ท่านสั่ง"
   
สุรุจิโพธิสัตว์กล่าวว่า "ท่านคงทำให้เสร็จภายว้นเดียวไม่ได้ เพราะพรุ้งนี้เช้า พระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์เป็นแสนรูปมารับบิณฑบาต ที่เรือนนี้  อาสานะในเรือนนี้คงไม่พอกับพระภิกษุสงฆ์"
   
พระอินทร์แปลงจึงกล่าวว่า "ถ้าเราทำได้ท่านจะให้ค่าจ้างอะไรกับเรา ?"
   
สุรุจิโพธิสัตว์ตอบทั่นที่ว่า "ท่านประสงค์ค่าจ้างเท่าใด เราไม่ขัดข้อง  แม้ชีวิตของเรา เราสละให้ได้หาขัดข้องไม่ ขอให้ทำบุญนี้ให้สำเร็จ"
   
พระอินทร์แปลงจึงตอบรับว่า "เรารับทำงานให้ท่าน แล้วท่านอย่าลืมจ่ายค่าจ้างให้กับเรา"
   
สุรุจิโพธิสัตว์โล่งใจกล่าวว่า "อย่างนั้นเชิญท่าน เร่งทำให้เลย " แล้วสุรุจิโพธิสัตว์ชี้อาณาบริเวณที่จะสร้าง และกล่าวว่า "เราจะไปสั่งการกับบริวาร ให้จัดเตรียมเครื่องถวายทานในพรุ่งนี้" แล้วสุรุจิก็เข้าไปในเรือน
   
ฝ่ายพระอินทร์แปลงพอทราบบริเวณ ก็เนรมิต ศาลาอาสานะจัดทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ด้วยอำนาจเทวา
       
จึงเข้าไปบอกสุรุจิโพธิสัตว์ว่า "เราสร้าง อาสานะ และศาลาเสร็จแล้ว"
       
สุรุจิโพธิสัตว์ พอเห็นศาลาและอาสานะพร้อมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งจึงกล่าวว่า "ท่านรอที่นี้ก่อนเราจะเข้าไปเอาทรัพย์เท่าที่เรามี  มอบให้แก่ท่านพระโพธิสัตว์จึงเข้าไปในเรือน แล้วหยิบทรัพย์มาเพื่อให้กับนายช่าง เมื่อหันกลับมา นายช่างคนนั้นหายไปแล้ว  จึงรู้ได้ทันที่ด้วยปัญญาของพระโพธิสัตว์ว่า พระอินทร์ทรงมาอนุเคราะห์ในกองบุญกองกุศล
        
วันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์และเหล่าพระสงฆ์เรือนแสนก็ รับบิณฑบาตที่เรื่อนของท่านสุรุจิพราหมณ์ ท่านก็อาราธนาพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ ประทับที่ศาลา อันวิจิตรงดงาม ที่พระอินทร์เนดรมิตไว้ ถวายไทยทาน และจีวรครบทุกรูป แล้วอาราธนา พระพุทธองค์และเหล่าภิกษุ ให้ประทับอยู่ต่อ เพื่อถวายทาน ให้ครบ 7 วัน
       
เมื่อกาลครบ 7 วัน พระพุทธองค์ทรงประทานภัตตานุโมทนากถา แล้วทรงพิจารณาด้วยสัพพัญญูตาญาณ ถึงผลบุญของสุรุจิพราหมณ์ จงทรงทราบด้วยพระญาณทันที่ แล้วตรัสพุทธพยากรณ์ ว่า
               
"ท่านสุรุจิพราหมณ์ท่านนี้ กาลล่วงไปในอนาคตกำหนดได้ 2 อสงไขยเศษอีกแสนกัป จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปนั้น"
   
เมื่อสุรุจิโพธิสัตว์ทราบถานะตนเองก็มีความปีติยินดีเป็นอย่างมาก  หลังจากนั้นไม่นานพระโพธิสัตว์คำนึงถึง การสร้างเนกขัมมบารี จึงออกบวชในพระพุทธศาสนา ศึกษาพระไตรปีฏก และเจรีญพระกรรมฐาน จนสำเร็จอภิญญา หลังสิ้นอายุขัย ไปเกิดเป็นพระพรหมอยู่บนพรหมโลก
          
หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทำอธิมุตจากพรหมโลก เพื่อสร้างสมบารมี

         สมัย พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
       
เมื่อกาลว่าลวงเลยมาถึง สมัยของพระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็กำเนิดเป็น พญานาคราช มีนามว่า พญาอดุลยวาสุกรี ปกครองนาคพิภพ เมือได้รู้ว่า
            "
บัดนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงพระนามว่า พระสุมนะพุทธเจ้า"
       
เมื่อพญาอดุลยวาสุกรี ได้ทราบข่าวดังนั้น ก็มีใจปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงออกจากนาคพิภพ พร้อมทั้งเหล่าบริวาร เฝ้าพระพุทธองค์พร้อมทั้งพระอริยะสงฆ์ สั่งให้บริวารนาคพิภพ ทำการประโคมดนตรีที่ไพเราะเลิศ และได้อุทิศถวายทิพญภูษามีสีงามประเสริฐแด่พระพุทธองค์และเหล่าพระอริยสงฆ์ ทรงถึงพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง
    
ครังนั้นพระสุมนะพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า
           
"พญาอดุลยนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ 2 อสงไขยกับอีกเศษแสนกัป จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปนั้น"
       
หลังจากนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ ก็เพียรสร้างบารมีเรื่อยๆ มา เวียนเกิดตายอีกหลายชาติ

        ถึงสมัมของ พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า       ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า อติเทวมาณพ ศึกษาจนจบไตรเวทางคศาสตร์ วันหนึ่ง ได้มีโอกาศได้ฟังพระธรรมเทศนา แสดงคุณแห่งปหานการละกิเลส จากพระโอษฐของสมเด็จพระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีจิตเลื่อมใสศรัทธาเป็นหนักหนา ยกมื่อไหว้ถึงหน้าผากถึงไตรสรณคมน์ พลางเปลื้องผ้าห่มสีสวยสดที่มีค่ามาก ออกทำสักการะบูชาพระสัทธรรมเทศนา
       
ในกาลนั้นพระเรวตะพุทธเจ้าทรงได้พุทธพยากรณ์ว่า
     "อติเทวมาณพผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง นามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัป อันจะมี ณ ที่สุดแห่ง 2 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป"
       
เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ดังนั้น ก็มีจิตใจปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียรสร้างบารมี ครั้นสิ้นอายุ ก็ไปจุติในสุคติภูมิ แล้วเวียนเกิดตายเรื่อยมา

        เมื่อถึงสมัยพระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า   ในกาลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า อชิตมานพ อยู่ในเมื่องรัมมวดีนคร วันหนึ่งได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ มีควมเลื่อมใสศัรทธายิ่งหนัก ภายหลังได้บำเพ็ญกุศลกับพระพุทธองค์ และพระภิกษุสงฆ์ หลายครั้งหลายคลา ในกาลครั้งนั้นได้สละทรัพย์บริจาคทานมากมายอยู่นานถึง 7 วัน
        
ในครั้งนั้นพระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดำรัสพยากรร์ว่า
     "อชิตพราหมณ์ผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง นามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัป อันจะมี ณ ที่สุดแห่ง 2 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป"
        
เมื่ออชิตพราหมณ์ได้ฟังดังนั้น ก็มีความปีติยินดี อุตสหะบำเพ็ญกุศลสร้างพระบารมีต่อไป จนสิ้นอายุไขย ไปเกิดในเทวโลก แล้วเวียนเกิดเวียนตายอยู่นานแสนนาน

        ชั่งเป็นโชคร้ายของเหล่าสรรพสัตว์ ตลอด หนึ่งอสงไขย ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลย เป็นสูญญอสงไขย

        เมื่อเริมกัปใหม่ ก็เป็น วรกัป คือกัปที่มีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น 3 พระองค์ มีพระนามดังนี้
                    1.สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
                    2.สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า
                    3.สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า
      
  สมัยพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
               
เมื่อพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเหล่าสรรพสัตว์ให้รู้แจ้งในธรรม อย่างมากมาย ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ กำเนิดเป็นเทวา เป็น  พญายักขเสนาบดี มีฤทธาศักดานุภาพมาก ได้เป็นใหญ่กว่ายักษ์ ทั้งหลาย ปกครองบริวาร เป็นแสนโกฏิตน เมื่อได้รับฟังข่าวว่า
                    "
สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติตรัสในโลกแล้ว"
พญายักขเสนาบดี เมื่อได้ฟังอย่างนั้น ตื่นตันปีติยินดีเป็นยิ่งหนัก  จึงนิรมิตมณฑปใหญ่อันงดงามประดับด้วยแก้วเจ็ดประการ แล้วอาราธนา พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าพระอริยะสาวกเข้าไปในมณฑป บำเพ็ญมหาทานจำนวนมากตลอดเจ็ดวัน ด้วยปารถนาพระโพธิญาณ
       
เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา พระองค์ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า
                   
"ท่านพญายักขเสนาบดีนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีก 1 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"
       
เมื่อพญายักขเสนาบดีได้รับทราบอย่างนั้นมีความปีติยินดี เพียรสร้างบามีต่อไป จนสิ้นอายุ เวียนเกิดตายต่อไป

        สมัยพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า
                   
พระพุทธองค์ทรงนำสัตว์ทั้งหลายเข้าสุ่แดนเกษมอย่างมากมาย ในกาลครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เกิดในดิรัจฉานภูมิ ด้วยอำนาจแห่งกรรมของการเวียนว่ายตายเกิด เป็นพญาราชสี อยู่ในป่าใหญ่ วันหนึ่งได้พบพระปทุมะพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ กำลังทรงนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ณ รุกขมูลโคนต้นไม้ใหญ่  พญาราขสี เห็นภาพ อันควรแก่การเลื่อมใส จึงมีจิตยินดีคิดว่า "เราจักทำการพิทักษ์รักษา ผู้มีศีลอันสงบเหล่านี้ ไม่ให้มีอันตรายเข้ามาใก้ลด้วยชีวิตแล้วเดินวนเวียนเฝ้าระวังภัยไม่ให้มีอันตราย เกิดขึ้นกับพระพุทธองค์และพระสาวก ไม่ย่อมออกไปหาอาหารจนร่างกายผอมโช่ตลอดเวลา 7 วัน เมื่อพระพุทธองค์และพระสาวกออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงเห็นพญาราชสี เฝ้าระวังภัยให้พระองค์และภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงกล่าว พุทธพยากรณ์ว่า
                   
"พญาราชสีนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีก 1 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"
   
แล้วพระพุทธองค์ก็จากไป ฝ่ายราชสีเมื่อสิ้นอายุขัยก็ไปจุติบนเทวโลก แล้วเวียนเกิดเวียนตายตามกรรมต่อไป

        สมัยพระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า
               
พระองค์ทรงประกาศพระสัทธรรมให้แก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากภพ ได้อย่างมากมายยิ่ง ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นมนุษย์ และได้ออกบวชเป็นฤาษีในป่าใหญ่ บำเพ็ญพรตจนสำเร็จอภิญญา 5 วันหนึ่ง  พระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์พร้อมทั้งเหล่าอุบาสกอุบาสิกา มากมายหลายท่าน พากันมาใกล้อาศรมของฤาษี ในครวนนั้น พระฤาษีโพธิสัตว์ทรงอภิญญาทัศนาเห็น ก็มีความปีติยินดีเลื่อมใส จึงเนรมิตอาศรมมากมายให้มีจำนวนเพียงพอ  กับพระพุทธองค์และหล่าวพระสาวก แล้วถวายให้นั่งเป็นที่เรียบร้อย
           
ครานั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม แก่พระสาวกและมหาฤาษี ทำให้มหาฤาษีมีความปีติปราโมทย์เป็นที่สุด ในวันรุ้งขึ้น จึงเหาะไปยังอุตตรทวีป เพื่อนำเอาภัตตาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระสาวก อย่างเพียงพอ กระทำอย่างนั้นอยู่เป็นเวลา 7 วัน วันสุดท้าย สักการะด้วยแก่นจันทร์แดงอันมีคุณค่า พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา แล้วตรัสพยากรณ์ว่า
                    
"มหาฤาษีผู้มีอนุภาพนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีก 1 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"
               
หลังจากนั้นมหาฤาษีโพธิสัตว์ เพียรสร้างสมบารมี จนสิ้นอายุขัย ก็จุติเป็นพรหมบนพรหมโลก แล้วเวียนเกิดตายต่อไป
   
เป็นเวลา 1 อสงไขย ซึ่งเป็นสูญอสงไขย ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลย   เป็นอันว่าพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ถึงตอนนี้ครบ 4 อสงไขย  พระนิยตโพธิสัตว์ได้พบพระพุทธเจ้าเพียง พระองค์เท่านั้น ชึ่งนับว่าเป็นช่วง เวลาที่มีพระพุทธเจ้าน้อยที่สุด แต่ต่อไปเบื้องหน้า พระนิยตโพธิสัตว์ต้องสร้างบารมีเพิ่มอีก แสนมหากัปจึงสมบูรณ์

                            อ่านหน้าต่อไป                                                   กลับหน้าแรก