ปัญญานี้เกิดจากความคิดในสัจจธรรมอยู่เรื่อยๆ
ให้คอยสังเกตุดูความจริงของธรรมชาติ เอาธรรมชาติความจริงนั้นๆ
น้อมเข้ามาสอนจิตเรา ให้เห็นความจริงของธรรมชาติ แต่การที่จิตจะเห็นได้นั้น
ต้องหมั่นสอนหมั่นชี้หมั่นอบรมจิตอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยเอาใจใส่เสียยิ่งกว่าดูแลเด็กอ่อน
100 คนเสียอีกค่ะ
ความจริงแล้วสัจจธรรมเป็นของเรียบ ง่าย ธรรมดามาก
แต่ที่เราเห็น
และเข้าใจกันได้ยากเหลือเกิน เพราะอวิชชาที่ปิดหูปิดตาเรามานาน
แสนนานเหลือเกิน เราจึงไม่เห็น
แถมยังเข้าใจว่าสิ่งธรรดาๆ อย่าง
ธรรมชาติเนี่ย เป็นเรื่องลึกลับ ยากเย็นเข็นใจที่จะเห็น
จะเข้าใจได้
( ดิฉันเองก็เคยกุมขมับ คิดเช่นนั้นมานานมากทีเดียวค่ะ
ถึงตอน
นี้ยังว่าแปลกทั้งๆที่อยู่ตรงหน้าทุกๆจุด
ทำไม่เมื่อก่อนไม่เห็นนะ ฯลฯ )
บางท่านฝึกสติโดยใช้ลมหายใจ การฝึกปัญญาที่ทำกันนี้จะมีสติตั้งใจมั่นเป็นกำลังสำคัญ
และนำอายาตนะทั้งหมดมาใช้เป็นเครื่องมือฝึกปัญญาสอนจิตให้เห็นความจริง
คือ ไม่ว่าตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ (ความรู้สึกหรือfeelingต่างๆ
ที่ได้รับการกระทบ ) กระทบกับอะไรก็ตาม จะสอนจิตให้รู้ตามถึงสภาวะต่างๆของไตรลักษณ์(ความไม่เที่ยง,
ความทุกข์, อนัตตา-ความไม่มี ) เรียกว่าหาหลักฐานพยานยืนยันให้จิตเห็นความจริงอยู่เสมอๆ
กิเลสมันขยันหาหลักฐานมาคอยหลอกจิตเราเสมอให้ติดอยู่กับวัฏนี้
ดังนั้น!! เราจึงต้องมีความเพียร
!!! ..เพียรหาหลักฐานมายืนยัน ให้จิตเห็นในสัจจธรรมในความจริง
มาค้านต้านกับกิเลสมันบ้าง จะยอมให้กิเลสมันหลอกจิตเรา
โดยที่ไม่สู้กับมันนั้น คงไม่ได้เสียแล้ว เวลาเหลือน้อยเต็มทนแล้วนะคะท่านทั้งหลาย
หน้าที่คืออบรมจิต ทำไปเรื่อยๆ...จะใช่ญาณอย่างที่คุณโจโจ้พูดหรือ
เปล่าก็สุดรู้ค่ะ แต่มันจะมีบางสิ่งเข้ามาในจิตแทนที่ความสงสัย
มัน
เป็นความรู้เห็นที่เป็นไปตามสภาวะจิตที่รู้เห็นความจริงอยู่เสมอๆ
( เพื่อนๆเรียกว่า พลังธรรม ) และแล้ว..ความติด
ความข้อง
ความสงสัยต่างๆ มันก็ค่อยๆคลาย จางไป
หลายอย่างที่เคยสงสัย
พอวางไว้กลับมาทำหน้าที่อบรมจิตต่อไป พอ5-6เดือนผ่านไปเรียก
ว่าลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าเคยสงสัยอะไร
แต่พอมีเพื่อนถามในสิ่ง
ที่เราเคยสงสัย กลับตอบได้เป็นตุเป็นตะ
แล้วก็มานั่งงงกับคำตอบ
นั้นว่าออกมาจากไหนกัน รู้ได้อย่างไรถึงพูดเสียอย่างกับว่ารู้จริง
อย่างมั่นใจเสียเหลือเกิน มันก็เป็นอย่างนี้ของมันเองค่ะ
แล้วก็
ต้องวางไป ไปยึดอะไรกับมันก็ไม่ได้อีก
เกิด-ดับ เกิด-ดับ ถ้าอยู่ตรงความจำ
ความรู้ ก็สัมพัสได้ระดับหนึ่ง ถ้าสอนลงถึงใจก็ระดับหนึ่ง
เมื่อซึมซับเข้าไปในใจเรื่อยๆก็จะมีความละเอียดเห็นความจริงในการเกิด-ดับขึ้นไปเรื่อยๆอีก
นั่นเป็นขั้นตอนของธรรมชาติเอง ไม่ต้องไปเร่งอะไร
จะเร่งจริงๆก็ไม่ได้เสียด้วย ต้องไปตามเหตุ-ตามปัจจัยและก็รอวาระของมันจะส่งผลเองค่ะ