พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
สันถัดเก่า จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ปรปาณฆาต
ดังนี้. แม้
เรื่องนี้ก็ได้มาแล้วโดยพิสดาร ในพระวินัยนั่นแล ก็ในที่นี้มีความย่อ
ดังต่อไปนี้ :- ท่านพระอุปเสนะ
มีพรรษาได้ ๒ พรรษา พร้อมด้วย
สัทธิวิหาริกซึ่งมีพรรษาเดียว พากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถูก
พระศาสดาทรงติเตียน
จึงกลับแล้วหลีกไปเริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา บรรลุ
พระอรหัตแล้ว
ประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น สมาทาน
ธุดงค์ ๑๓ กระทำการชักชวนบริษัทให้เป็นผู้ทรงธุดงค์ ๑๓ ด้วย
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส จึงพร้อมด้วย
บริษัทเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เพราะอาศัยบริษัทนั่นแหละ จึงได้รับ
การติเตียนเป็นครั้งแรก แต่เพราะประพฤติตามกติกาอันประกอบด้วย
ธรรม จึงได้รับสาธุการเป็นครั้งที่สอง เป็นผู้อันพระศาสดาทรงกระ-
ทำอนุเคราะห์ว่า จำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุทั้งหลายผู้ทรงธุดงค์ จงเข้ามา
เฝ้าเราตามสบายเถิด
แล้วจึงออกไปแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ตั้งแต่นั้นมา
ภิกษุทั้งหลายจึงพากันเป็นผู้ทรงธุดงค์ เข้าไปเฝ้าพระ-
ศาสดา เมื่อพระศาสดาเสด็จออกจากที่เร้น ก็พากันทิ้งผ้าบังสกุลไว้
ในที่นั้นๆ
ถือเอาไปเฉพาะบาตรและจีวรของตนเท่านั้น. พระศาสดา
เสด็จเที่ยวจาริกไปยังเสนาสนะพร้อมด้วยภิกษุมากด้วยกัน ทอดพระ-
เนตรเห็นผ้าบังสุกุลตกเรี่ยราดอยู่ในที่นั้นๆ จึงตรัสถาม ได้ทรงสดับ
ความนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
การสมาทานวัตรของ
ภิกษุเหล่านี้ เป็นของไม่ตั้งอยู่ยั่งยืน ได้เป็นเช่นกับอุโบสถกรรมของ
นกยาง แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกเทวราช. ครั้งนั้น มี
นกยางตัวหนึ่งอยู่ที่หลังหินดาดใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ต่อมา ห้วงน้ำใหญ่
ในแม่น้ำคงคาไหลมาจดรอบหินดาดนั้น นกยางจึงขึ้นไปนอนบนหลัง
หินดาด.
ที่แสวงหาอาหารและทางที่จะไปแสวงหาอาหารของนกยาง
นั้นไม่มีเลย. แม้น้ำก็เปี่ยมอยู่นั่นเอง นกยางนั้นคิดว่า เราไม่มีที่
แสวงหาอาหาร และทางที่จะไปแสวงหาอาหาร ก็อุโบสถกรรมเป็น
ของประเสริฐกว่าการนอนของเราผู้ว่างงาน จึงอธิษฐานอุโบสถด้วยใจ
เท่านั้น สมาทานศีล นอนอยู่.
ในกาลนั้น ท้าวสักกเทวราชทรง
รำพึงอยู่
ทรงทราบการสมาทานอันทุรพลของนกยางนั้น ทรงพระ-
ดำริว่า เราจักทดลองนกยางนี้ จึงแปลงเป็นรูปแพะเสด็จมายืนแสดง
พระองค์ให้เห็นในที่ไม่ไกลนกยางนั้น. นกยางเห็นแพะนั้นแล้วคิดว่า
เราจักรู้การรักษาอุโบสถกรรมในวันอื่น จึงลุกขึ้นโผบินไปเพื่อ
จะเกาะแพะนั้น ฝ่ายแพะวิ่งไปทางโน้นทางนี้ ไม่ให้นกยางเกาะตน
ได้. นกยางเมื่อไม่อาจเกาะแพะได้ จึงกลับมานอนบนหลังหินดาดนั้น
นั่นแลอีกโดยคิดว่า
อุโบสถกรรมของเรายังไม่แตกทำลายก่อน. ท้าว-
สักกเทวราชประทับยืนในอากาศด้วยอานุภาพของท้าวเธอ ทรงติเตียน
นกยางนั้นว่า
ประโยชน์อะไรด้วยอุโบสถกรรมของคนผู้มีอัธยาศัยอัน
ทุรพลเช่นท่าน ท่านไม่รู้ว่าเราเป็นท้าวสักกะ จึงประสงค์จะกินเนื้อ
แพะ
ครั้นทรงติเตียนแล้วก็เสด็จไปยังเทวโลกทันที.
มีอภิสัมพุทธคาถา แม้ ๓ คาถาว่า :-
นกยางแหละมีเนื้อและเลือดเป็นอาหาร
เป็นอยู่ได้เพราะฆ่าสัตว์อื่น สมาทานเข้าจำ
อุโบสถกรรมนั้นแล้ว.
ท้าวสักกะทรงทราบวัตรของนกยางนั้น
แล้ว จึงจำแลงเป็นแพะมา นกยางนั้น
ปราศจากตบะ ต้องการดื่มกินเลือด จึงโผ
ไปจะกินแพะ ได้ทำลายตบะเสียแล้ว.
บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือน
กัน เป็นผู้มีวัตรอันเลวทรามในการสมาทาน
วัตร ย่อมทำตนให้เบา ดุนกยางทำลายตบะ
ของตน เพราะเหตุต้องการแพะฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปปชฺชิ
อุโปสถํ ได้แก่ เข้า
จำอุโบสถ. บทว่า วตญฺาย ความว่า ทรงทราบวัตรอันทุรพลของ
นกยางนั้น. บทว่า วีตตโป
อชฺฌปฺปตฺโต ความว่า เป็นผู้ปราศจาก
ตบะบินเข้าไป อธิบายว่า โผแล่นไปเพื่อจะกินแพะนั้น. บทว่า
โลหิตโป แปลว่า ผู้ดื่มเลือดเป็นปกติ.
บทว่า ตปํ ความว่า
นกยางทำลายตบะที่ตนสมาทานแล้วนั้น.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า ท้าวสักกะในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาพกชาดกที่ ๑๐