เมื่อพญามารทักท้วงและขัดขวาง

         การสื่อสัมผัสสนทนากับโอปาติกะ  ไม่ใช่ว่าจะต้องการสื่อสนทนาอย่างไรก็ได้ตามใจของเราที่ต้องการ  จะต้องมีเหตุ และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นไปตามวาระของ วาสนาและโอกาสหาได้เป็นไปตามจุดประสงค์เสมอไป  เพราะไม่ใช่ว่ามีเพียงเราคนเดียวที่จะแสดงที่จะประสงค์ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ตามจุดประสงค์ของตน  แต่เป็นเหมือนกับการได้เกิดปฏิสัมพันธ์ กับหลายๆ บุคคลซึ่งแตกต่างกันไป ทั้งความคิดและความมุ่งหมาย   และเรื่องทั้งหมดก็หาได้ถูกผูกเรื่องจากข้าพเจ้าหรือภรรยาข้าพเจ้า แต่เรื่องต่างๆ ก็จะปรากฏตามภาวะของเหตุการณ์เอง  ดังนั้นอุปสรรคในการสื่อสัมผัสสนทนากับโอปาติกะนั้นย่อมมีและหลายรูปแบบ   ต่อไปนี้ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่คาดคิดหรือคาดว่าทิศทางจะเป็นไปอย่างนั้น   ดังเรื่องต่อไปนี้

 

         ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2550  ข้าพเจ้าต้องการทราบชื่อของข้าพเจ้าเมื่อชาติที่แล้ว เพื่อเป็นข้อมูล จึงสื่อสัมผัสกับเทพที่รู้จักกันเมื่อชาติที่แล้ว  แต่สื่อสัมผัสอะไรไม่ได้ แล้วดันมีผู้อื่นมาสื่อสัมผัสแทน  ท่าทางขึงขังและไม่พอใจอย่างมาก  ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร?”

         โอปาติกะนั้นก็พูดบอกว่า “เราเป็นพญามาร”

          ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านไม่พอใจขึงขังเรื่องใดครับ?”

         พญามารจึงพูดว่า “เหตุอยู่ที่ท่านนี้เอง”

          ข้าพเจ้าก็งงๆ เลยครับ จึงถามว่า “เหตุอันใดที่ผมทำให้ท่านไม่พอใจหรือ?”

          พญามารพูดว่า “แม้แต่ผู้ที่เป็นเปรตท่านปล่อยได้อธิษฐาน ปรารถนาเป็นภิกษุสาวกในสมัยของท่านได้ ภายหลังได้มาคุยโอ้อวดยกตน ว่ามีบุญอย่างโน้นมีบุญอย่างนี้ ตนจะได้เป็นมหาสาวกในสมัยของท่าน ทำให้เหล่าบริวารของเราเสียระบบวุ่นวายไปหมด ทำไมท่านจึงปล่อยให้เหล่าเปรตอธิษฐานปรารถนาซึ่งเป็นภพภูมิที่ต่ำ เมื่อได้เปลี่ยนภพภูมิดีหน่อยก็คุยโม้โอ้อวดจนวุ่นวายไปหมด”

          ข้าพเจ้ายัง งง อยู่ จึงตอบไปว่า “เขาก็ปรารถนาของเขาเอง ผมหาได้ไปชักชวนหรือชี้นำเขาเลยครับ อีกอย่างเมื่อเขามีกุศลจิตอย่างแรงกล้า ผมก็ไม่ควรไปขัดขว้างกุศลจิตนั้น เพราะเกิดขึ้นด้วยตัวเขาเอง  เอ้ ... แล้วเขาเหล่านั้นไปเกี่ยวข้องทำให้บริวารของท่านสับสนวุ่นวายอย่างไรครับ?”

          พญามารก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ก็มันดันมาเกิดในอาณาบริเวณของข้า มีรัศมีมากวิมานใหญ่และคุยว่าต่อไปในอนาคตจะเป็นโน้นจะเป็นนี้สมัยของท่าน ทำให้เหล่าบริวารของข้าสับสนและวุ่นวาย ว่าผู้ที่เคยเป็นเปรตมาโอ้อวดและได้ดีกว่าพวกเขาได้อย่างไร?  ทำให้ข้าทราบว่าสาเหตุนั้นมาจากท่าน ที่สื่อสัมผัสกับโอปาติกะได้รวมทั้งเปรต แล้วปล่อยให้พวกเขาอธิษฐานปรารถนาสับสนมั่วไปหมด ทำให้เกิดวุ่นวายไม่เป็นระบบเลย”            

          ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ก็เป็นบุญเป็นกรรมของผู้นั้นเอง ผมไม่ได้ไปทำอะไรนี้ครับ”

           พญามารจึงพูดสำทับว่า “สาเหตุมาจากท่าน ท่านต้องเลิกสื่อสัมผัสสนทนากับโอปาติกะ เพื่อไม่ให้เหล่าเปรตอธิษฐานมั่วชั้วได้อีก ท่านยังไม่ยิ่งใหญ่พอ ท่านยังไม่สมบูรณ์พอ ท่านยังไม่พร้อมไม่ควรทำอย่างนี้ เพราะเกิดการสับสนวุ่นวายไปหมด”

            ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ครับ ผมยังไม่ยิ่งใหญ่พอ ยังไม่สมบูรณ์พอ ผมทราบตัวเองครับ ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมคนหนึ่ง แม้แต่ในสังคมมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักของใครๆ  แต่สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นมาเองตามฐานะครับ โดยที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าจะออกมารูปแบบนี้ ดังนั้นท่านจะห้ามไม่ให้เกิดโดยเด็ดขาดก็คงไม่ได้ครับ แต่ผมก็จะพิจารณาเรื่องการที่มีผู้เข้ามาอธิษฐานปรารถนาอีกที่นึ่ง เพราะผมก็เห็นว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่นอน จะเปลี่ยนใจเมื่อใดก็ได้ และขณะนี้พระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ก็ยังดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์  แต่ผมจะไปห้ามเขาเมื่อเขาเกิดกุศลตอย่างมากก็คงไม่ได้”

      พญามารก็พูดว่า “อย่างนั้นเราต้องห้ามไม่ให้ท่านสื่อสัมผัส”

          ผมจึงพูดว่า “ผมยังมีกิจอื่นที่ต้องสื่อสัมผัส ที่ไม่เกี่ยวกับการให้ผู้อธิษฐานปรารถนา”

          พญามารก็สายหน้าแบบไม่พอใจ แล้วจากไป  หลังจากนั้นจะสื่อสัมผัสก็ไม่ได้อีกเลย......

ต่อมาก็จะสื่อสัมผัสไม่ได้อีกเลย   ข้าพเจ้าจึงต้องกล่าวสัจจะอ้างบารมีที่สร้างสมมาเพื่อสื่อสัมผัส เพื่อจะถามในสิ่งที่สงสัยอยู่ คือชื่อเมื่อชาติที่แล้วชื่ออะไร?   ก็สื่อสัมผัสได้ และเมื่อข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเป็นไคร?”

          ผู้ที่สื่อสัมผัสก็บอกว่า “เราเป็นบริวารของท่านพญามาร ท่านพญามารสั่งไว้ให้คอยขัดขวางการสื่อสัมผัสของท่าน ”

         เป็นอันว่าเทวดาที่เคยใกล้ชิดที่ทราบชื่อดี ไม่สามารถสื่อสัมผัสได้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ผมต้องการจะสนทนาในกิจเรื่องอื่นไม่ใช่ ให้ผู้อื่นมาอธิษฐานปรารถนา ดังนั้นน่าจะอนุโลม เพราะไม่เกี่ยวกันกับจุดประสงค์ในการที่ท่านคอยขัดขวาง อีกอย่างเมื่อข้าพเจ้ากล่าวอ้างบารมีอยู่อย่างนี้ท่านเอง ก็อาจจะลำบากไปด้วย”

 

          เทวดาฝ่ายมารก็เข้าใจพยักหน้าแล้วจากไป  เทพที่เคยใกล้ชิดกับข้าพเจ้าในชาติที่แล้วก็เข้ามาสื่อสัมผัสแทน ก็สนทนาเรื่องสารทุกข์ทั่วไป  แล้วข้าพเจ้าจึงถามไปว่า “ชาติที่แล้วชื่อผมนั้นชื่ออะไร? ผมกำลังหาข้อมูลอยู่ครับ”

           เทพที่เคยใกล้ชิดกับข้าพเจ้าก็พูดชื่อเป็นภาษาเทพขึ้นมาเป็นเสียงภาษาเทพสูงๆ ต่ำเหมือนภาษาต่างประเทศ ผมแยกแยะไม่ออก ส่วนเทพนั้นก็พูดซ้ำหลายรอบ ผมก็ยังแยกเพื่อเขียนเป็นภาษาไทยไม่ออก ผมจึงบอกว่า “ท่านช่วยพูดให้คล้ายเป็นแบบภาษาไทยได้ไหม?”

           เทพนั้นกล่าวว่า “เสียงเป็นอย่างนี้ถ้าปรับเป็นสำเนียงภาษาไทยคงลำบาก” หลังจากนั้นเทพองค์นั้นก็ควักมือเรียกเทพองค์อื่นมาช่วย แล้วพูดภาษาเทพย้ำใหม่ ช้าๆ ตัดเป็นที่ละคำแต่มันอยากตรงที่ออกสำเนียงท้ายคำปรับใช้กับอักษรภาษาไทยลำบาก เมื่อปรับลงเพื่อให้ง่ายๆ ก็สามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้ว่าชื่อ “โชออ...(ลากเสียงยาวแล้วตามด้วย) มัตตะ”  ถ้าตัดให้สั้น ก็คือ โชออ.....  หรือ โชต... ที่ออกเสียงลากยาวนั้นเอง  ก็จะเป็น โชต>>มัตตะ ถ้าตัดให้สั้นมีชื่อว่า โชต หรือ โชตนาม นั้นเอง  เมื่อข้าพเจ้าทราบชื่อเมื่ออดีตชาติแล้วก็ยุติการสื่อสัมผัสเพียงแค่นั้น

 

          หลังจากนั้นก็ไม่ได้สื่อสัมผัสอีกเลย และมีปัญหาที่ต้องขัดใจกันตลอดในเรื่องต่างๆ ในครอบครัว วันหนึ่งปลายเดือนพฤศจิกายน ผมคิดที่จะสื่อสัมผัส ก็ดันมีเรื่องทะเราะกันจนใจคิดแทบจะแยกจากกัน ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งข่มใจไปหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน เมื่อสงบต่างฝ่ายก็คิดได้ ก็อยู่กันได้ตามปกติ

               ก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้เอง ข้าพเจ้าประสงค์จะสื่อสัมผัสเพราะยังคาใจเรื่องพญามาร จึงอยากจะพูดกันให้ชัดเจน ถึงจุดประสงค์จริงว่าที่ห้ามไม่ให้สื่อสัมผัสนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ระหว่าง  

        1. เป็นห่วงพระพุทธศาสนา ที่ยังสมบูรณ์อยู่ ทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่เหล่าโอปปาติกะดันมาปรารถนาสิ่งที่ไกลเกินไป ที่ไม่แน่นอนเกิดความล้าช้า

        2. ประสงค์ให้สัตว์ทั้งหลายปรารถนา พระนิพพานโดยเร็วพลัน  

        3.ไม่ต้องการให้เปรตนั้นมาอธิษฐานปรารถนา เพราะทำให้พญามารควบคุมไม่ได้

        4. กลัวว่าข้าพเจ้าหรือ เปรตที่ไปเกิดใหม่ยิ่งใหญ่กว่า

       

       ครั้งแรกก็สื่อสัมผัสแบบธรรมดาก่อน ก็สามารถสื่อสัมผัสกับเทพใกล้ชิดได้ตามปกติ ข้าพเจ้าจึงแปลกใจถามว่า “ทำไมสื่อสัมผัสได้ พญามารไม่คอยขัดขว้างแล้วหรือ?”

           เทพใกล้ชิดบอกให้ทราบว่า “เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป” 

แล้วเทพใกล้ชิดก็แนะให้ไปทำบุญในวันพระที่วัดในอาทิตย์ที่ 2  ธันวาคม 50 ที่จะถึงนี้   ซึ่งขาดการทำบุญมาสองเดือนแล้ว เมื่อสนทนาเสร็จ ข้าพเจ้าก็บอกภรรยาว่าประสงค์สื่อสัมผัสกับพญามารที่เคยมาขัดขว้าง เพราะอยากทราบจุดประสงค์หลักของพญามาร และมีความเป็นมาอย่างไร

           หลังจากนั้นก็ทำการสื่อสัมผัสกับพญามารท่านนั้นตรงๆ   และเข้ามาสื่อสัมผัสแต่ก็มีอาการขัดเคืองใจอยู่ข้าพเจ้าก็ถามว่า “ท่านเป็นพญามารที่เคยมาขัดขว้างข้าพเจ้าใช่หรือไม่?”

            พญามารตอบว่า  “ใช่ เราเอง”

            ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านยังมีความขัดเคืองไม่พอใจ ในเรื่องเดิมอยู่หรือ?”

             พญามารตอบว่า “เรายังมีความขัดเคืองอยู่ ไม่พอใจอยู่  เหล่าเทพบริวารเราต่างก็ตั้งอยู่ศีลและธรรมโดยตลอด แล้วผู้ที่เคยเป็นเปรตมาเกิดเป็นเทพช้ำมีรัศมีและมีความสมบูรณ์มากกว่า แล้วยังคุยโอ้อวดว่า ตนเองปรารถนาจะเป็นพระมหาสาวกในสมัยของท่าน ทั้งที่ศีลและธรรมก็ไม่ได้ตั้งมั่นมาตลอดเหมือนดังเทพที่อยู่ก่อน ทำให้เทพเหล่านั้นสับสนและสงสัยว่าตนเองได้ก็ตั้งมั่นในศีลธรรมแต่ทำไม่เปรตนั้นที่มาเกิดเป็นเทพได้ดีกว่า ทั้งที่ไม่เคยตั้งมั่นในศีลธรรมมาก่อน”

           ข้าพเจ้าจึงถามพญามารขึ้นว่า “แล้วเทพที่เคยเป็นเปรตนั้น ได้มาคุยโอ้อวดเรื่องนี้โดยตรงกับท่านหรือเปล่า?”           

          พญามารตอบ “ไม่ได้มาโอ้อวดกับเราโดยตรง เทพบริวารที่มีความสับสนสงสัยได้ยกเรื่องนี้มาถามเรา ว่าทำไม? เปรตที่ไม่เคยตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมแต่เมื่อปรารถนาจะเป็นพระมหาสาวกในสมัยของท่าน ภายหลังเมื่อตายจากเปรตมาเกิดใหม่เป็นเทพ กลับมี รัศมี วิมาน ยศ ดีกว่าพวกเขาได้อย่างไร?  เราจึงเห็นว่า สาเหตุมาจากท่านที่สื่อสัมผัสกับโอปาติกะได้ แล้วทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ เกิดความวุ่นวายขึ้น เกิดความเสียหายในการปกครอง และผิดหลักการทำความดี เพียงแค่อธิษฐานปรารถนาเป็นสาวกในสมัยท่าน ก็ได้ดีกว่าผู้ที่ตั้งมั่นไปศีลธรรมมาตลอดได้อย่างไร?”

               ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า “การที่ผู้ที่เคยเป็นเปรตแล้วปรารถนาเป็นมหาสาวกในสมัยของผม ภายหลังได้เกิดเป็นเทพที่มี รัศมี วิมาน และยศ ดีกว่าเทพเก่าก่อนนั้น เกิดจากทานศีลและธรรมในชาติก่อนๆ ที่เขานั้นได้ทำมาอย่างมากแล้วก็ได้ ส่งผลในปัจจุบัน หาใช่เพราะการปรารถนาเป็นมหาสาวกอย่างเดียวก็ได้นะครับ”

                พญามารนั้น อึ่งนิ่งไปเสมือนนึกได้ แต่ก็ยังพูดว่า “แต่เราไม่ต้องการให้เกิดความสับสนวุ่นวายอย่างนี้กับเทพบริวารทั้งหลาย”

                ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “อย่างนั้นถ้าเกิดมีเปรต มาอธิษฐานปรารถนาในภายหลัง ผมก็จะบอกว่าว่า เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อย่าเอาไปโอ้อวดกับผู้อื่น เพราะอาจเปลี่ยนใจได้”

                 พญามารพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ต้องการให้มีการโอ้อวดว่า เป็นเปรตหรืออะไรก็ตามแล้วปรารถนาเป็นมหาสาวกในสมัยของท่านแล้ว เมื่อได้มาเกิดเป็นเทพแล้วมีรัศมี วิมานและยศ เหนือกว่าผู้อื่น โดยไม่ต้องตั้งมั่นในศีลและธรรมมาก่อน”

                 ข้าพเจ้าก็พูดว่า “ออ..  ผมเข้าใจแล้ว เมื่อเปรตหรืออะไรก็ตามเกิดมาอธิษฐานปรารถนาเป็นพระมหาสาวก ให้ผมเน้นย้ำให้เขาทราบและตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเสียก่อน และไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น ดีกว่าผู้อื่นในที่อยู่เก่า ก็ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ไม่ใช่เพราะความปรารถนาเป็นมหาสาวกอย่างเดียวทำให้เขาได้ดีอย่างนี้ เพื่อไม่ให้เหล่าเทพเข้าใจผิดในภายหลัง”

                  พญามารพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่เราต้องการให้เข้าใจและรู้อย่างนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเป็นหลัก เหล่าเทพก็จะไม่เกิดการสับสนวุ่นวายในการปกครอง”

 

                   แล้วพญามารก็จากไป  พญามารท่านนี้คงไม่ใช่เป็นมารที่แท้จริง  เพราะให้ตั้งมั่นอยู่ศีลธรรม และขัดเคืองผู้ที่คุยว่า ได้ดีเพราะปรารถนาเป็นมหาสาวก หรือเป็นอะไรก็ตามในสมัยใด ของใครในอนาคต จึงทำให้ตนหรือมาเกิดเป็นเทพได้ดีกว่าผู้อื่น  ซึ่งมันก็เหตุผลที่ถูกของท่าน แต่วิธีของท่านที่กระทำมันไม่ค่อยถูกมากนัก....