แสวงหา กิเลส ชนะตน และเล็กน้อย                                                                                            กลับหน้าแรก 
 
 
 
 เนื้อความ : 
                   แสวงหา  กิเลส  ชนะตนเอง  และเล็กๆน้อยๆ  กระทู้นี้ที่เอาเข้ามา เพราะการสนทนาธรรม เรื่อง ราคะ กับโทสะ 
                                   8 มิ.ย 41 เรื่องแสวงหา 
         มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ โดยตัวของมนุษย์แต่ละคนแล้วย่อมไม่รู้ว่าตนเองเกิดมา แต่ผู้เป็นแม่หรือผู้เป็นพ่อ  
สามารถรู้ตั้งแต่ใช้สารทดสอบการตั้งครรภ์ หรือเมื่ออยู่ร่วมกันแล้วฤดูของฝ่ายหญิงขาดเป็นเวลา 2 ถึง 3 เดือน  
ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยจากการแสวงหาของผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ แต่ทารกน้อยคนนั้นกำเนิดขึ้นมาด้วยความไม่รู้  
ดั้งนั้นมันชั่งเหมือนกับสิ่งที่มืดมนและเป็นปัญหาที่ไม่สามารถคบคิดได้ มีแต่คำตอบในทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ได้ว่า  
ทารกกำเนิดจากไข่ของแม่ผสมกับอสุจิของพ่อเมื่อมีเพศสัมพันธ์กัน แต่มนุษย์ธรรมดาเมื่อเจริญวัยขึ้นเป็นผู้ใหญ่  
ก็ไม่สามารถระลึกหรือนึกย้อนหลังเมื่อตนเองอายุต่ำกว่า 1 หรือ 2 ขวบไปได้ เปรียบเสมือนว่าสมองหรือการเก็บข้อมูล  
ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจหรือสติปัญญายังไม่สมบูรณ์ เพราะมนุษย์ต้องอาศัยสมองและ เวลาในการเก็บข้อมูลในการพัฒนาขึ้นมา  
หมายความว่ามนุษย์หรือสัตว์โดยทั่วไปจะให้บังเกิดความรู้หรือความเข้าใจด้วยตัวเอง ย่อมเป็นไปได้ยากหรือไม่ได้เอาเสียเลย  
ต้องอาศัยร่างกายและสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเทียบเคียงในการเรียนรู้จึงจะเกิดความเข้าใจและมีความฉลาดขึ้นมา เนื่องเพราะอาศัยร่างกายนี้ ซึ่งเป็นของธรรมชาติ  
จึงจะต้องตกอยู่ในสภาวะของธรรมชาติในการแสวงหาเพื่อความอยู่รอดของร่างกายและเพื่อการดำรงค์เผ่าพันธ์  
ซึ่งจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตในโลกนี้หรือแม้กระทั้งพืชก็ตกอยู่ในกฏหรือทฤษฏีนี้ไม่มีการยกเว้น แต่มนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ทั้งหลายในโลก  
เพราะมีสมองและความเฉลียวฉลาด ถ้าใช้ให้ถูกทางก็มีความสามารถเกือบควบคุมธรรมชาติในโลกนี้ได้ แต่จะเป็นอย่างนั้นคงยากและอาจจะไกลเกินไป  
เนื่องจากมนุษย์ยังมีจิตใจบวกกับการแสวงหาเพื่อให้ได้มาโดยไม่คำนึงถึงผลเสียมีเปอร์เชนตร์สูงอยู่ ถึงแม้จะไม่ตำทรามเยี่ยงสัตว์เดรัชฉาน  
แต่สัตว์เดรัชฉานไม่สามารถทำร้ายระบบธรรมชาติได้ แต่มนุษย์นั้นมีการพัฒนาการให้เจริญด้วยสติปัญญาที่จะฉีกออกจากระบบธรรมชาติเดิมๆ ได้  
แต่ก็หนีไม่พ้นธรรมชาติของการแสวงหาที่ยึดติดกันมาไปได้ 

                                         9 มิ.ย 41 เรื่อง กิเลส 
         กิเลสในทางพุทธศาสนามีอยู่ 3 อย่างได้แก่ 1.ราคะ 2.โทสะ 3.โมหะ ที่แฝงอยู่ในจิตใจมนุษย์ สามารถแยกแยะตามความหมายและการบังเกิดได้ดังนี้ 
         1. ราคะ ได้แก่ความอยาก ความอยากในที่นี้หมายถึงการปรุงแต่งทางจิตและทางอารมณ์เพื่อให้ได้มาตามที่ต้องการ  
ด้วยการกระทำที่ถูกหรือผิดก็ตามแต่ 
         2.. โทสะ ได้แก่ความไม่ต้องการ แล้วผลักไสให้พ้นตัวหรือปกป้องตัวตนบังเกิดความขุ่นเขืองใจหรือขัดใจ จนท้ายที่สุดก็ประทุออกมาทาง  
กายและวาจา 
         3. โมหะ ได้แก่ความไม่รู้เมื่อมีอะไรมากระทบหรือรับรู้ ก็จะเกิดการยึดด้วยราคะหรือผลักไสออกไปด้วยโทสะ 
สรุปแล้วในจิตของสัตว์ทั้งหลาย มีกิเลสทั้ง 3 เป็นตัวผลักดันหมุนเวียนกันอยู่ ให้ดำเนินไปอย่างไม่รู้จบสิ้น ตามธรรมชาติตามภพตามภูมิของตนที่เกิดอยู่  
เช่นในภพสัตว์เดรัชฉานก็มีความเฉลียวฉลาดตามฐานะของตนเอง มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน หรือจะเรียกว่าข้องอยู่ในธรรมชาติอันไหลวน ของ ราคะ โทสะ  
และโมหะ ไม่มีที่สิ้นสุด 
พระพุทธเจ้าทรงให้ธรรมอะไร? จึงสามารถชนะกิเลสเหล่านี้           พระพุทธเจ้าทรงกล่าวสอนธรรมตามลำดับ ดังนี้คือ 
        1.ให้มองทบทวนชีวิต ของตนเอง และสิ่งแวดล้อม ด้วยความเป็นกลางและเป็นจริง 
         2.ให้เริ่มดำรงค์ตนในปัจจุบันนี้ในแนวทางที่ถูกต้อง คือ ทำความดี ละความชั่ว เช่นการให้ทานและรักษาศีล  
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงประโยชน์ผลของทาน และประโยชน์ผลของศีล 
        3.ให้เริ่มดำรงค์จิตของตน ในปัจจุบันให้ตั้งมั่นโดยการฝึกพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม ที่บังเกิดในปัจจุบัน ด้วยสติ  
แล้วพระพุทธเจ้าทรงสรุปให้ฟังว่า ทุกสิ่งในตนและสรรพสิ่งทั้งสากลจักรวาลนั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ อันได้แก่ 1.อนิจจัง ความไม่เทียง 2. ทุกขัง  
การตั้งอยู่ไม่ได้ 3. อนัตตา ยึดเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ หรือกล่าวโดยสรุปรวม คือ เมื่อเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา  
(ต่อไปเป็นความเห็นของข้าพเจ้า) ถ้าเข้ายึดเป็นตัวเป็นตน(โมหะ)ก็เกิดมี ราคะ โทสะ  ให้เป็นทุกข์หรือสุข กับ เวทนา นั้นๆ  
เวทนาในที่นี้หมายถึง เวทนาในขัน 5 ก็คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา และไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา(เฉย) ซึ่งต้องมีอยู่แล้วตามธรรมดา  
ตามสังขารที่เกิดขึ้นมา  ทีนี้มากล่าวถึงกิเลส เกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะกล่าวเน้นลงใน เวทนาในขัน 5 จะไม่กล่าวตื้น หรือ ลึกไปกว่านี้  
เดียวจะเอาบัญญัติมาตีกันให้สับสน กิเลสในที่นี้คือ โมหะ ราคะ โทสะ ที่เป็นอนุสัย นอนเนื่องอยู่ 
                        กล่าวได้ว่ากิเลสมี 3 ระดับ คือ 
        1. กิเลสอย่างหยาบ ที่ปรากฏให้เห็นทางกายและวาจา 
        2. กิเลสอย่างกลาง ที่ปรากฏให้เห็นในใจ 
        3. กิเลสอย่างละเอียด อนุสัยกิเลสไม่ปรากฏให้เห็น แต่เมื่อมีเหตุกระทบ ก็จะฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นกิเลสอย่างกลาง หรืออย่างหยาบ  
ให้เห็นได้อย่างชัดเจน  จึงกล่าวได้ว่า โมหะ ราคะ โทสะ ที่เป็นอนุสัย นั้นและคือ รากเหง้าของกิเลส หรือกล่าวสั้นๆ ง่าย ก็คือโมหะ หรือ อวิชชา  
เพราะธรรมดาแล้วไม่สามารถไปรู้เห็นด้วยความคิดหรือความรู้สึก  ที่ยังขาดสติปัญญาที่สมบูรณ์  คนเราจึงยกประโยชน์ให้เป็นโมหะเสีย 
คราวนี้จะกล่าวถึง ราคะ และ โทสะ ที่ปรากฏ ให้เห็น ทางกาย ทางวาจา และทางใจได้อย่างไร ข้าพเจ้าขอกล่าวรวมว่า โมหะ ราคะ และโทสะ  
ที่เป็นอนุสัยนั้นว่าเป็น โมหะ เพื่อกันความสับสน  เพราะถ้าพูดว่ามีราคะ โทสะ ที่ไม่บังเกิดขึ้นให้รับรู้ที่ กาย ที่วาจา หรือที่ใจ คนทั่วไปจะไม่ย่อมรับ  
แต่ถ้ากล่าวว่าเป็นโมหะ หรืออวิชชา ก็จะพอเข้าใจเพราะมนุษย์ชอบ ยกในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ และรู้ไปไม่ถึง ว่าเป็นโมหะ  
ดังนั้นความเห็นของบุคคลธรรมดาที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติธรรมแล้วแต่ไม่ละเอียด เข้าใจผิดว่าสุขเวทนา และทุกขเวทนา  หรือ  
ไม่สุขไม่ทุกขเวทนา นั้นเป็นกิเลส จึงพยายามบังคับมันไม่ให้มี แทนที่จะมีสติปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง   ปัญญาที่แท้จริงจึงไม่บังเกิด ตัวสุขเวทนา  
ทุกขเวทนา  หรือเฉย มันเป็นธรรมขาติอยู่อย่างนั้นเมื่อมีสังขาร แต่ตัวที่ปรุงแต่งที่เรียกว่าอนุสัยกล่าวรวมคือโมหะ ผสมรวมหรือยึดมั่นถือมั่นกับ  
สุขเวทนานั้น จึงบังเกิดราคะ ให้ปรากฏในใจ แล้วจึงประทุออกมาทางกายและวาจาตามกำลัง เช่นเดียวกัน อนุสัยกิเลสกล่าวรวมคือโมหะ  
ผสมรวมหรือยึดมั่นถือมั่นกับ ทุกขเวทนานั้นจึงบังเกิด ปฏิคะ(ไม่สบอารมณ์) หรือโกรธ ปรากฏให้เห็นทางใจ  
แล้วประทุออกมาทางกายหรือวาจาตามกำลัง เช่นเดียวกันอนุสัยกิเลสกล่าวรวมคือโมหะ ผสมรวมหรือยึดมั่นถือมั่นกับความเฉย  
ปรากฏให้เห็นทางใจคือเฉยไม่รู้อะไร แล้วประทุออกทางกายและวาจาตามกำลัง คือนั่งหรือเดินซึมๆ  
หรือพูดอะไรออกมาแบบขาดสติ(ที่ไม่ใช่อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ราคะ) 
แต่ตามสภาพความเป็นจริงแล้วกิเลสเหล่านั้นก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามธรรมดาของมัน ถ้ายังไม่มีปัญญาประหารมัน  
มันก็ยังเกิดดับสืบเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด จึงไม่เป็นธรรมดาเสียแล้วเพราะอัตตาที่ยึดมั่นเป็นตัวเป็นตน ดังนั้นจึงต้องพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม  
ด้วยจิตที่เป็นกลาง แล้วปล่อยวางในสิ่งที่จิตยึดมั่นถือมั่นอยู่ บังเกิดการเบื่อหน่ายในความเป็นตัวเป็นตน เป็นนิพพิทาญาณ แล้วคลายกำหนัด  
สละทิ้งซึ่งกิเลสที่มีอยู่ ให้เบาบางลงหรือหมดไปตามกำลัง 

                                12 มิ.ย 41 การชนะตนเอง 
         มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิ่งที่ไม่รู้ จึงต้องพัฒนาและเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบข้าง เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำรงค์ชีพของตน  
ตามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ เพราะความเป็นมนุษย์ต้องอาศัยธรรมชาติ ทั้งแต่ก่อนเกิด โดยอาศัยยีนและโครโมโซม ที่เป็นรูปแบบจาก อสุจิ ของผู้เป็นพ่อ  
และไข่จากของผู้เป็นแม่ เมื่อมีการปฏิสนธิขึ้นมาในครรภ์ของแม่ก็จะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา หรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เริ่มมีจิตใจและร่างกายที่พัฒนาขึ้นมา  
แล้วเสมือนว่าร่างกายกับจิตใจ ผูกติดกันแน่นหรือยึดติดกันแน่นแยกกันไม่ออกและต้องเกื่อกูลซึ่งกันและกัน  
จึงทำให้มนุษย์โดยทั่วไปมีความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน ที่ต้องบำรุงรักษาและปกป้อง  
การบำรุงรักษาและปกป้องไม่ไช่ว่าจะหยุดอยู่ที่ร่างกายของตนอย่างเดียวแต่มันรวมถึงสิ่งต่างๆ รอบข้าง ที่แสวงหามาได้หรือที่ได้รับมาจากสิ่งแวดล้อม  
ปัญหาเหล่านี้มองดูแล้วเป็นเรื่องพื้นๆ เป็นธรรมดาของสัตว์โลก แต่มนุษย์มีจิตนาการและความคิดที่พิเศษกว่าสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้  
จึงทำให้พฤติกรรมของมนุษย์ต่างกับสัตว์อื่นๆ อย่างมากมาย แต่เมื่อมองลึกในพฤติกรรมพื้นฐานของสัตว์โลกกลับมีพื้นฐานอันเดียวกัน คือ 
         1.ตามสภาพทางกาย  เมื่อเกิดมาก็ได้รับการโอบอุ้มจากสิ่งแล้วล้อม แล้วเติบโตขึ้นมาก็ดำรงค์เผ่าพันธุ์มีลูกมีหลาน แล้วแก่และตายไป 
        2.ตามสภาพจิตใจ 
คือมีความยึดมั่นเป็นตัวเป็นตนเหมือนกันทั้งที่รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ตามแต่ เรียกว่า โมหะ และมีการยึดเข้ามาหาตัวเองมากขึ้นเมื่อตนเองชอบ เรียกว่า ราคะ  
และมีการผลักไสออกจากตนในสิ่งที่ไม่ชอบทำให้ติดแน่นในตัวตนมากไปอีก เรียกว่า โทสะ รวมแล้วมี โมหะ ราคะ โทสะ  
ในจิตใจเหมือนกันหมดของสัตว์โลก ที่กล่าวมาทั้งหมดดูเหมือนเป็นธรรมดา ของสัตว์ทั้งหลาย แต่เสมือนมีไฟเผารนอยู่ตลอดเวลาคือไฟของความทุกข์  
ที่เกิดจาก ราคะ โทสะ และโมหะ เพราะเกิดจากการเบียดเบียนตนเองหรือเบียดเบียนผู้อื่นหรือถูกผู้อื่นเบียนเบียน จึงหาความสงบไม่ได้เอาเสียเลย  
กลายเป็นผู้แพ้อยู่ตลอดกาล ดังนั้นการที่จะมีมนุษย์สักคนที่จะชนะตนเองได้จึงกลายเป็นเรื่องที่ยาก เพราะโดยปกติมนุษย์จะลุ่มหลงตนเองเสียมากกว่าแม้ว่า  
ขณะที่ทำความดี(ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ หรือภาวนา)อยู่ก็ตามแต่ เพราะอาหารของจิตใจของผู้ที่ลุ่มหลงคือความแปลกความสนุกและความตื่นเต้น  
ความสุขที่ปรุงแต่ง รวมกระทั้งความยากในสิ่งที่ต้องการที่เอาตนเป็นที่ตั้ง และผลักไสในสิ่งที่ไม่ต้องการโดยยึดตนเป็นที่ตั้ง จึงมืดบอดอยู่อย่างนั้น  
บางครั้งก็ทำกรรมอันไม่ดีคือเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จนต้องได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็ยังไม่สำนึก  
จนกว่าพัฒนาปัญญาให้เห็นแจ้งในความจริงของธรรมชาติ อันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา จนราคะ โทสะ และโมหะเบาบางไปไม่กลับคืนมาอีก  
หรือหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงถือว่าเป็นการชนะตัวตนหรือตนเองได้อย่างแท้จริง 

จงสร้างความเพียรเพื่อสร้างตน 
จงสร้างความอดทนเพื่อสร้างสมาธิ 
จงสร้างสติเพื่อสร้างปัญญา 

พึงชนะความตระหนี่     ด้วยการให้ 
พึงชนะความโกรธ        ด้วยเมตตา 
พึงชนะกาม           ด้วยสมาธิและอสุภ 
พึงชนะความงวงนอน   ด้วยสติและสมาธิ 
พึงชนะความหลง         ด้วยสติและปัญญา 

-จงมองหาความดีในตัวเขา    ถ้าใจเราเกิดหลงในตัวเขา 
จงเฝ้ามองดูในใจเรา            ว่ายังโง่เขลาอีกหนักหนา 

-คนเราเกิดมาก็เริ่มแบกภาระอันได้แก่สังขารของตน และเมื่อโตขึ้นภาระต่างๆ ก็มากขึ้นและแบกภาระต่างๆ ด้วยการสมมุติเอาตามกระแสของโลก  
โดยมีกิเลสอันได้แก่ ราคะ โทสะ และโมหะ เป็นตัวฉุดเป็นตัวลากให้ดำเนินไปและอาศัยความพึ่งพอใจเป็นใหญ่ 

-มนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมมีปัญหา จึงพยายามแก้ปัญหากันทุกตัวตน ซึ่งอาจจะใช้ปัญญาทางความคิดหรือไม่ก็ตาม แต่พฤติกรรมต่างๆ บังเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหา  
อาจจะสร้างปัญหาหรือหมดปัญหา ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน นี้ละหนอวัฏฏะสงสารที่ยังวนเวียนให้สุขหรือทุกข์ตามสมมุติไม่สิ้นสุด 

-เมื่อเหตุไม่บริสุทธิ์ ผลจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร 
เมื่อเหตุไม่สมบูรณ์ ผลจะสมบูรณ์ได้อย่างไร 
ดังนั้นผลของเหตุในอดิตอันไม่ดีควรน้อมรับด้วยจิตใจที่มั่นคงดำรงณ์อยู่ในศีลและธรรม 
ในบัจจุบันไม่ให้ผลอันนั้นทำให้จิตใจต้องเศร้าหมองแล้วหลงไปกระทำความชั่วเพิ่มขึ้น 

- การมีเงิน อำนาจ ยศ และฐานะ ไม่ใช่ตัววัดคุณธรรมความดีของบุคคลในปัจจุบัน แต่เป็นผลของกรรมดีในอดีต(หมายถึงเมื่อวานก็ได้)  
บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นตัววัดคุณค่าของตนเอง จึงใช้เงิน อำนาจ ยศ และฐานะ บิดเบือนความผิดของตนเองในปัจจุบัน  
และใช้ไปทำการกระทำที่ขาดคุณธรรมแต่ปิดบังด้วย เงิน,อำนาจ,ยศ,และฐานะ เพื่อให้มี อำนาจ เงิน ยศ ฐานะ ยิ่งขึ้น หรือพ้นผิดทางกฎหมาย  
หรือพ้นผิดการกระทำที่เสื่อมเสีย ด้วยความหลงของตน แต่อย่าคิดหมายเลยว่าจะพ้นกฎแห่งกรรมนั้นไปได้ 

- มนุษย์โดยส่วนมากสมัยนี้ มักเข้าใจผิดไปหลงบูชาหรือหลงเชื่อใน รูป ลาภ ยศ เกียรติ์ อำนาจและสรรเสริญ ทั้งที่เป็นตัวบุคคลและทั้งที่เป็นตำแห่นง  
มากกว่าคุณธรรมความดีเสียอีก จนบางครั้งก็ลืมคุณธรรมความดีไปเสียเลย กระทำความชั่วโดยไม่กระดากใจแม้แต่นิดเดียว จึงไม่มีสติมายับยั้ง  
หลงตนว่ากระทำถูกจนกว่าผลกรรมนั้นส่งผลให้เป็นทุกข์ เสียเกียรติ์ เสียลาภ เสียยศ เสียอำนาจ และเสียชื่อเสียง เป็นตัวยับยั้ง  
แต่ถ้ายังโง่งมอยู่ไม่บังเกิดสติปัญญาแก้ไข ก็จะต้องมีความทุกข์เพราะการกระทำของตนไปอีกนานแสนนาน วนเวียนกันไม่สิ้นสุด 

   คนดีมีธรรมสาปแช่งเพียงคนเดียวบารมีย่อมเศร้าหมอง 
คนมิดีขาดธรรมสาปแช่งเพียงคนเดียวบารมีมากขึ้นเป็นกอง 
ที่กล่าวมาบารมียังบกพร่อง 
ถ้าสมบูรณ์พร้อมต้องคนดีย่อมสรรเสริญ 
คนพาลสันดานหยาบยังเชื่อฟัง 
คนไม่ดีขาดธรรมยังกลับใจ 
ผู้ปฏิบัติได้อย่างนี้และเป็นเลิศของบารมี 

-สิ่งต่างๆ ดำเนินไปมีแต่สติปัญญาและความสงบด้วยขันติเท่านั้นที่นำไปสู่จุดหมาย 

สตินี้ละคือหน้าที่ 
สตินี้ละทำให้เป็นผู้ตื่นเบิกบาน 
สตินี้ละนำมาซึ่งปัญญาสมาธิ 
ไม่ควรว่างเว้นจากสติจึงชนะถินะมิทะอันได้แก่ความงวงเหงาหาวนอนได้ 
พึงมีสติเห็นการเปลี่ยนแปลงในทุกขณะ ก็จะกลายเป็นผู้ตื่นและเบิกบาน 

-ไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์และสุขของการปรุงแต่งยิ่งกว่าการเวียนว่ายตายเกิด 
และสังขารนี้อีกแล้ว เพราะเมื่อมีสังขารความทุกข์และสุขต่างๆ ก็เข้ามา และเมื่อมีกิเลสความยึดมั่นเพิ่มเข้าไปอีก  
ความทุกข์และสุขก็ย่อมมากมายเป็นทวีคูณและพิศดาร ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจไว้เถิด จึงปล่อยวางกิเลสความยึดมั่นทั้งป่วงในภายใน  
ระงับเวทนาทุกข์และสุขด้วยสติ ปัญญา สมาธิ ถึงความว่างอันแท้จริงที่ไม่ประกอบเป็นตัวเป็นตน

 จากคุณ : Vicha [ 18 ก.ค. 2543 / 20:22:48 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.3 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 1 : (Listener) 
ขอบคุณ ครับ 
คราวนี้ค่อนข้างยาวนะครับ  ผมเลยเพิ่งตั้งใจอ่านจนจบ 
ปกติชอบอ่านของคุณ Vicha แต่ คิดว่าถ้าสั้นลงสักหน่อย และย่อหน้าบ่อยๆจะอ่านง่ายขึ้นนะครับ
 จากคุณ : Listener [ 24 ก.ค. 2543 / 17:49:50 น. ]  
     [ IP Address : 203.126.110.34 ] 
 

จบกระทู้บริบูรณ์

 กลับหน้าแรก