สวัสดีคุณVicha ครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับประโยคตอนท้ายที่ว่า
"การปัดหรือไม่ปัดมด ถ้าเรามีสติทุกเวลา ก็ไม่ได้หลุดจากการกำหนดกรรมฐาน"
จริงทีเดียวครับ ถ้าเราได้เพียรพยายามตามที่ได้ตั้งเจตนาไว้ตั้งแต่ต้น
คือจะนั่งกำหนดกรรมฐานให้ได้ครบ ๓๐ นาที แล้วปรากฎว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้เราขาดสติ คือแม้นจะเพียรกำหนดรู้อย่างไร
สติก็มิได้อยู่กับอารมณ์
กรรมฐานเลย อย่างนี้ ก็สมควรจะปัดออกไปด้วยอาการที่มีสติสัมปชัญญะ
เช่นว่า กำหนดรู้ว่า ใจอยากจะปัดมดออกไป
กำหนดรู้อาการลืมตา
กำหนดรู้อาการเห็นครั้งแรกของการลืมตา
กำหนดรู้อาการที่เหลียวลงมองตัวมด
กำหนดรู้อาการเห็นมด
กำหนดรู้ถ้ามีความรู้สึกเกิดในใจ
กำหนดรู้อาการที่มือไปปัด หรือปากที่เป่าตัวมดให้ออกไปจากตัว
.......
......
จนกระทั่งกลับมานั่งหลับตากำหนดอารมณ์กรรมฐานตามเดิม
(ความละเอียดของการกำหนดก็ขึ้นอยู่กับความแก่กล้าของสติ
สัมปชัญญะของแต่ละคน)
ความต่อเนื่องของสติที่กำหนดรู้เป็นขณิกะๆนี้ สำคัญ
เพราะ
เป็นปัจจัยให้ทั้งสติเองและสมาธิมีกำลังแก่กล้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ผมมีความเห็นว่าควรนั่งต่อให้ครบนั้น เพราะเห็นว่าน่าจะเป็น
สิ่งรบกวนเล็กน้อย เป็นเวทนาที่น่าจะพอกำหนดรู้ต่อไปได้ไม่ยาก
นัก เพราะในการปฎิบัติตามความเห็นส่วนตัว
ผู้ปฎิบัติยังต้อง
พบเจออุปสรรคหนักๆอีกมากมายอยู่ข้างหน้า
ส่วนที่คุณวิชากล่าวว่า
>อาการใด ที่ทำให้พละ 5 เสียความสมดุลย์มาก ก็ปรับเปลียนให้สมดุลย์
>แต่ถ้าขณะใดที่พละ 5 พอเหมาะ ไม่ว่าอาการนั้นจะเจ็บปวด
ก็จะดำรงณ์อยู่ได้
ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าแต่ละประโยคเป็นทั้งเหตุทั้งผลของอีกประโยคหนึ่ง
แต่ผมเห็นด้วยว่าถ้าเจริญอินทรีย์๕ จนแก่กล้าเป็นพละ๕(องค์ธรรมเดียว
กันกับอินทรีย์๕) ได้แล้ว ไม่ว่าอารมณ์ เช่นอาการเจ็บปวดจะมากเท่าใด
สติยังกำหนดรู้อย่างต่อเนื่องเป็นกลางได้ เพราะพละ๕นี้มีกำลังมาก
เป็น
ธรรมที่เกื้อกูลต่อวิปัสสนา
ส่วนความไม่สมดุลย์ของอินทรีย์๕ คือ สติ สมาธิ วิริยะ
สัทธา และปัญญา
เป็นข้อควรระวัง สมาธิกับวิริยะต้องสมดุลย์กัน
สัทธากับปัญญาต้องสมดุลย์กัน
ส่วนสติยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี อินทรีย์๕ เป็นธรรมที่ควรเจริญให้มาก
โดยปกติถ้าปฏิบัติใหม่ๆ(หรือแม้แต่มือเก่าๆอีกมากมาย)
อาจไม่สามารถ
วิเคราะห์ด้วยตนเองได้ว่า อินทรีย์ใดของตนอ่อนหรือแก่ไป
โดยมากจะเป็น
หน้าที่ของวิปัสสนาจารย์ที่คอยดูแลเรา ท่านจะคอยปรับแก้ให้
อันนี้พูดถึง
การปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง
ก็ขอสรุปอย่างเดียวกับคุณวิชาว่า "มีสติทุกเวลา"
ซึ่งเท่ากับ
"ความไม่ประมาท"นั่นเอง ที่จะยังสติปัฎฐาน๔
ให้สมบูรณ์
ยินดีที่ได้ร่วมสนทนาธรรมครับ