ธรรมชาติ , ปรมัตธรรม 4 , บุคคล , อนัตตา, จุดเริ่มของสัตว ์

         ธรรมชาติ   ในพระพุทธศาสนาธรรมชาตินั้นมีเพียงสองเท่านั้น คือ
                             1. ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่คงที่ ปรุงแต่งได้ ไหลวน และมีความยึดมั่นถือมั่น  เรียกว่า สังขตธรรม
                             2. ธรรมชาติที่ปรุงแต่งไม่ได้ สงบเย็น ไม่ยึดมั่นและถือมั่นในสิ่งทั้งปวง   เรียกว่า อสังขตธรรม หรือนิพพาน

         ปรมัตธรรม 4  ในทางพุทธศาสนาคือสิ่งที่มีอยู่จริงปรากฏอยู่จริงในธรรมชาติ ได้แก่ 1.รูป 2.จิต 3.เจตสิค และ 4.นิพพาน

         คำว่าบุคคล    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคล ประกอบด้วยธาตุ 6 ได้แก่ 1.ธาตุดิน 2.ธาตุน้ำ 3.ธาตุลม 4.ธาตุไฟ 5.อากาศธาตุ(ช่องว่าง) 6.วิญญาณธาตุ
                                 1. ธาตุดิน ได้แก่ ร่างกายส่วนที่แข็ง เข่น กระดูก เนื้อเยื่อต่างๆ เส้นเอ็น เล็บและเส้นผม ขน ฯลฯ
                                 2. ธาตุน้ำ ได้แก่ ของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำย่อย ต่างๆ ฯลฯ
                                 3. ธาตุลม ได้แก่ ลมที่อยู่ในลำใส้ ในช่วงท้อง ในหลอดเลือด ที่ผลักดันให้ของเหลวไหลเวียนในร่างกาย
                                 4. ธาตุไฟ ได้แก่ ความร้อนต่างๆ ภายในร่างกาย ที่มีอุณหภูมิต่างๆ กัน
                                 5. อากาศธาตุ ก็คือช่องว่างต่างๆ ภายในร่างกาย ทั้งในกระดูก ในหลอดเลือด ในลำใส้ ที่ของเหลวต่างๆ ไหลเวียนในร่างกายได้
                                 6. วิญญาณธาตุ ก็คือสภาพรู้ (คือรู้ตัวมากหรือน้อย แต่ไม่ใช่จำได้หมายรู้ เข่น นอนหลับหรือสลบคือรู้สึกตัวน้อย ไม่เกี่ยวกับจำได้หรือไม่ได้)

           ในเมื่อมีวิญญาก็ต้องปรากฏมี สังขาร สัญญา และเวทนา เป็นธรรมดา ปรากฏอยู่ประกอบอยู่ในความเป็นบุคคล
                      ดังนั้นก็จะได้ว่า บุคคลประกอบด้วย ธาตุ ทั้ง 6 ซึ่งก็อยู่ในปรมัตธรรม 3 ข้อใน 4 ข้อ คือ
                              1. ธาตุ ทั้ง 5 ยกเว้นวิญญาณธาตุ ก็คือ รูป นั้นเอง ดังนั้น รูป รวมทั้งหมดของสสารและพลังงานและช่องว่าง(แยกพิจารณา)
                              2. วิญญาณธาตุ    ก็คือ จิต นั้นเอง
                              3. เมื่อมีวิญญาณ ก็ต้องปรากฏ สังขาร สัญญา และ เวทนา เกิดดับๆ สัมพันธกันอยู่ ดังนั้น สังขาร สัญญา เวทนา ก็คือ เจตสิคนั้นเอง   
            หมายเหตุ  พิจารณา เรื่อง รูป ในพุทธศาสนา ก็จะได้ว่า รูป เป็นได้ทั้ง สสารและพลังงานและช่องว่าง
                                ดังนั้นไม่ว่า จะเป็นสสารที่มองเห็นได้หรือไม่ได้ก็จัดว่าเป็นรูป และ
                                ดังนั้นไม่ว่า จะเป็นพลังงานความร้อน แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้า นิวเคลียร์ โปรตรอน ฯลฯ ที่เป็นคลื่นหรืออนุภาค ก็จัดเป็นรูป และ
                                ดังนั้นไม่ว่า จะเป็นช่องว่างหรือที่ว่างทั้งหลาย ก็จัดเป็นรูป

                                ตัวอย่าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในเรื่องของรูป ที่ละเอียด เช่นคนที่มีตาสมบูรณ์ ประสาทตาสมบูรณ์ เมื่อแสงจากวัตถุมากระทบตา ภาพนั้นก็รวมกันไปตกที่เรตินา ซึ่งเรตินานั้นเพราะกอบไปด้วยเนื้อเยื่อ ของเหลว มีปฏิกริยาทางเคมี และไฟฟา เป็นรูป ในอีกความหมายหนึ่งเกิดขึ้น ในรูปสัญญาและคลืนไฟฟาหรือแม่เหล็ก สรุปรวดรัดแล้ว ก็คือรูปจำลอง ปรากกฏขึ้น ซึ่งก็คือ รูป ดังนั้นคลื่นสัญญาและคลื่นแม่ไฟฟาหรือแม่เหล็กก็จัดเป็นรูป

             อนัตตา มีความหมายว่า ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
                            แต่มีผู้สนใจธรรมส่วนหนึ่งเข้าใจผิดเลยไปจากนั้นว่า ไม่มีตัวไม่มีตน กลายเป็นความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไป จากสิ่งที่ปรากฏ คือบุคคลประกอบด้วยธาตุ ทั้ง 6 และปรมัตธรรมที่มีจริง 3 ข้อ ใน 4 ข้อ คือ 1.รูป 2.จิต 3.เจตสิค ที่ปรากฏอยู่ในช่วงขณะนั้นจริงๆ ของธรรมชาติ แต่ไปปฏิเสธว่า ไม่มีตัวไม่มีตนไปเสีย ซึ่งผิดจากคำว่า อนัตตา
                            ซึ่ง อนัตตา หมายความว่า บุคคลประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 นั้นยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ไม่เป็นตัวเป็นตนถาวร (ไม่ใช่ ไม่มีตัวไม่มีตนในปัจจุบันขณะนั้นๆ) เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เป็นเพียง รูป จิต เจตสิค เท่านั้น และเป็นเพราะขาดปัญญาในอริยสัจ 4 หรือ วิชชาไม่ปรากฏทำให้อวิชชา เป็นปัจจัย เกิดเป็นบุคคลประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 เปลี่ยนแปลงหมุนเวียนอยู่ในธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง ถูกปรุงแต่งได้ วนเวียนในวัฐจักรอันเป็นทุกข์ จนไม่สามารถเปรียบเทียบหาเวลาเบื้องต้นได้ในฝ่ายสังขตธรรม นั้นเอง

          จุดเริ่มปรากฏของสัตว์    บางท่านสงสัยว่า ในเมื่อไม่สามารถเปรียบเทียบระบุหาเวลาเบื้องต้นว่าสัตว์ปรากฏขึ้นเมื่อไหร แล้วจะทราบว่าสัตว์เริ่มเกิดหรือปรากฏขึ้นได้อย่างไร? เพราะสัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นได้จากกรรมกำหนดหรือวิบากกรรม
           ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสแนะนำสังสอนไว้แล้ว แต่ท่านที่เข้าใจคลาดเคลื่อนจนผิดไปมุ่งประเด็นอยู่เงื่อนเวลา หรือ กล่าวว่าต้องมีวิบากกรรมหรือกรรมกำหนดก่อนสัตว์จึงจะเกิดได้

          คำอธิบายหักล้างเรื่องเวลา ? ? ?
          พระพุทธเจ้าทรงตรัสทำนองว่า สัตว์ทั้งหลายได้วนเวียนเกิดและตายมายาวนานมาก ๆ ๆ ๆ ไม่มีบัญญัติเวลาวัดได้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเปรียบอุปมาให้ทราบได้ว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดตายมายาวนานหาเบื้องต้นไม่ได้  เมื่อกล่าวถึงเรื่องเวลา  แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบจุดเริ่มเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เพราะไม่รู้หรือขาดปัญญารู้ในอริยสัจ 4
           อริยสัจ 4 คือ 1.รู้ทุกข์  2.รู้เหตุแห่งทุกข์  3.รู้ความดับทุกข์  4.รู้วิธีดับทุกข์

          คำอธิบายหักล้างเรื่องกรรมกำหนดหรือต้องมีวิบากกรรม ก่อนสัตว์จึงเกิด ดังนั้นสัตว์เกิดครั้งแรก มีกรรมหรือวิบากกรรมจากใหนทำให้เกิด ? ? ?
          ถึงแม้ไม่มีคำบัญญัติเวลาว่าเท่าไรที่เริ่มมีสัตว์เกิดขึ้น  พระพุทธองค์ก็ทรงเปรียบเทียบอุปมาให้ทราบยาวนานมากจนหาเบื้องต้นไม่ได้ ให้ทราบ และพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สัตว์เริ่มเกิด เกิดได้โดยไม่ต้องอาศัยกรรมหรือวิบากกรรมมาก่อน ก็เกิดจากเพราะความไม่รู้ในอริยสัจ 4 นั้นเองเป็นจุดเริ่มต้น การเกิดของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดอยู่ เพราะความไม่รู้ในอริยสัจ 4 นั้นแหละคือ อวิชชา เป็นจุดเริ่มการเกิดของปฏิจสมุทปบาท เป็นสัตว์บุคคลขึ้น(กรรมเก่าหรือวิบากกรรมเก่าตัดทิ้งไปได้เลย) ดังนี้   
        เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร นี้แหละเป็นปัจจัยของกรรมใหม่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวกับกรรมเก่าเลย เมื่อกล่าวถึงสัตว์ที่เริ่มเกิดในสากลจักรวาล
        เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ (เป็นปัจจัยเกิดต่อกันอีกก็คือกรรมใหม่)
        เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป (เป็นปัจจัยเกิดต่อกันอีกก็คือกรรมใหม่)
        เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดอายตนะ (เป็นปัจจัยเกิดต่อกันอีกก็คือกรรมใหม่)
        เพราะนามอายตนะเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ (เป็นปัจจัยเกิดต่อกันอีกก็คือกรรมใหม่)
        เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา   (เป็นปัจจัยเกิดต่อกันอีกก็คือกรรมใหม่)
        เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา (เพราะตัณหานี้และก่อให้เกิดกรรมใหม่ที่ชัดเจนและรุนแรง เป็นวิบากกรรมขึ้นมาครั้งแรก)
        เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปทาน (อุปทานต่างๆ นี้ทำให้สร้างกรรมใหม่เพิ่ม เป็นวิบากกรรมที่รุนแรงขึ้น ส่งผลได้ แม้แต่ข้ามถพข้ามชาติเริ่มขึ้น)
        .........   
        ........

        ปฏิสจมุทปบาทฝ่ายเกิดก็เกิดวนจนครบ แล้วตกเป็นอนุสัย เป็นอวิชชาต่อไป เพราะการขาดปัญญารู้ในอริยสัจ 4 วนเวียนในวัฏสังขาร มายาวนานจนหาหรือบัญญัติคำว่าเวลาเบื้องต้นไม่ได้

        ลองอ่านกระทู้ที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างต่างความเชื่อ
               กระทู้ความขัดแย้งทางความคิด(จากพันทิพ) แต่ก็จบลงด้วยความสงบ
               กระทู้ความไม่เข้าใจ(จากพันทิพดอดคอม)จบลงด้วยความสงบ